ผู้คิดค้น ปากกาลูกลื่น คนแรกของโลก (Ballpoint Pen)

ปากกาลูกลื่น


ปากกา ในยุคแรกปากกาคอแร้ง และต่อมาก็เป็นปากกาหมึกซึมนั้นมีปัญหาสำคัญคือ ต้องคอยเติมหมึกบ่อยๆ หมึกไหลเยิ้ม และปากกาลูกลื่น ก็คือคำตอบที่เข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ ทำให้มันเป็น ปากกา ที่ได้รับความนิยมทุกสุดในปัจจุบัน และ บุคคลที่ควรได้รับการยกย่องว่าเป็น ผู้คิดค้น พัฒนาจนสามารถนำมาใช้ได้ในเชิงพาณิชย์ก็คือ ลาซาโล บิโร(László Bíró)

รายละเอียด

  • เชื่อหรือไม่ว่า กาลิเลโอ เองก็เคยออกแบบปากกาที่คล้ายปากกาลูกลื่น มาแล้วตั้งแต่ ศตวรรษที่ 17
  • ผู้ที่ทำการจดสิทธิบัตร ปากกาลูกลื่น คนแรกของโลกคือ นาย John Loud ที่โฆษณาว่าปากกาของเขานั้นสามารถ เขียนบนหนัง(Leather)ได้ แต่มันก็เหมาะสมสำหรับเขียนบนพื้นผิวที่หยาบเท่านั้น และไม่เหมาะสมจะนำมาใช้เขียนบนพื้นผิวเรียบ เช่น กระดาษ มันจึงแทบไม่มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เลย
  • ในช่วงปี 1904 - 1946 มีผู้คิดประดิษฐปากกาลูกลื่น(ปากกาที่มีลูกเหล็กกลม เป็นตัวควบคุมการไหลของหมึก)มากมาย หลายค่าย แต่มันยังคงประสบปัญหา คือ ลูกเหล็กแน่นไปหมึกไม่ไหล ลูกเหล็กหลวมไปหมึกไหลเยิ้ม จึงยังไม่มีปากกาลูกลื่นของผู้ใดประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงเชิงพาณิชย์
  • ต่อมานายลาซาโล บิโร(László Bíró) นักหนังสือพิมพ์ชาวฮังกาเรี่ยน ที่รู้สึกเซ็งจิตอย่างมาก กับ ปากกาหมึกซึมแบบเดิมๆ ที่มักจะคอยหมั่นเติมหมึกบ่อยๆ ต้องคอยทำความสะอาดจากหมึกที่ไหลเยิ้มไปหมด กระดาษที่ถูกขูดขาดจากปลายปากกาที่แหลม
  • แล้ววันหนึ่งเขาก็เห็นว่า หมึกที่ใช้พิมพ์หนังสือพิมพ์นั้นแห้งเร็ว ไม่ทำกระดาษย่น มันน่าจะสามารถนำมาใช้ทำหมึกของปากกาได้
  • บิโร จึงคิดจะประดิษฐ์ปากกาที่ใช้หมึกที่ใช้พิมพ์หนังสือพิมพ์ แต่เมื่อนำไปใช้มันกับก่อปัญหาหมึกนั้นหนืดไปมันไม่สามารถไหลออกจากปลายปากกา
  • บิโร ได้รับความช่วยเหลือจากพี่ชาย นามว่า George ที่เป็นนักเคมี ช่วยในการออกแบบ ปากกา ชนิดใหม่ ที่มีลูกเหล็กกลมขนาดเล็ก ติดอยู่ในช่องที่ปลายปากกา ที่สามารถหมุนได้อย่างอิสระทุกทิศทางเมื่อปลายปากกาเขียนผ่านกระดาษ
  • ในปี 1940 บิโร และพี่ได้หนีออกจากฮังการีเนื่องจากกลัวการกวาดล้างของทหารนาซี ไปยังอาร์เจนติน่า และได้จดสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 1940 ที่อาร์เจนติน่า และนั้นเป็นความผิดพลาดอย่างมากของ บิโร ที่เราไม่ทำการจดสิทธิบัตรที่ อเมริกา
  • เมื่อนักธุรกิจชาวอเมริกัน นามว่า Milton Reynolds (ชื่อเริ่มคุ้นหูแล้วซิ) เขาเห็นปากกาลูกลื่นของ บิโร สามารถใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยม เขาจึงได้ซึ้อมันกลับไปยังอเมริกาเพื่อเป็นตัวอย่าง และจัดตั้งบริษัท Reynolds International Pen ทำการขโมยผลงานสร้างสรรค์ของ บิโร มาเป็นของตนเอง ผลิตปากกาออกขายในปี 1945 ที่นิวยอร์ค ที่ห้าง Gimbels ด้วยราคาสูงถึงแท่งละ 9.75 เหรียญสหรัฐ จนร่ำรวย
ข้อมูลอ้างอิง

http://en.wikipedia.org/wiki/File:Ballpointpentip_lessnoise.jpg

ผู้คิดค้น ถุงกระดาษ คนแรกของโลก

ถุงกระดาษ

ถุงกระดาษ รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เชื่อกันหรือไม่ว่าถุงที่เราเห็น เราใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันพึ่งมีการคิดค้นประดิษฐ์ขึ้นมาแค่ ร้อย กว่าปีมานี้เอง

รายละเอียด

  • วิศวกรเครื่องกล ชาวอเมริกัน จากรัฐ Ohio นามว่า ชาร์ล สทิลเวลล์(Charles Stilwell) เขาได้ทุ่มเทเพื่อคิดค้นประดิษฐ์ ถุงกระดาษแบบใหม่ เนื่องจากถุงกระดาษที่ใช้กันอยู่ในยุคนั้นมีลักษณะเป็น ถุงกระดาษก้นแหลมเป็นรูปตัว V
  • เนื่องจาก ถุงกระดาษมีลักษณะเป็นรูปตัว V ทำให้มัน พับยาก ทั้งยังไม่เหมาะสมในการบรรจุสิ่งของ และที่สำคัญมันตั้งไม่ได้
  • ชาร์ล ได้คิดค้นถุงกระดาษแบบใหม่เป็น รูปสี่เหลี่ยม ก้นด้านล่างเป็นสี่เหลี่ยมทำให้สามารถ ถุงชนิดใหม่นี้สามารถตั้งได้ และด้านข้างมีการจับจีบ ทำให้ถุงนี้สามารถขยายได้กว้างใส่สิ่งของได้สะดวกยิ่งขึ้น
  • ถุงชนิดใหม่นี้ใช้ชื่อว่า Self-Opening Sack(S.O.S.) เนื่องถุงสามารถตั้งได้ และเปิดได้ง่าย
  • ในวันที่ 12 มิถุนายน 1883 ชาร์ล ได้ทำการจดสิทธิบัตรเครื่องถุงกระดาษ
  • ถุงกระดาษ S.O.S นี้ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมาก และยังคงความนิยมอยู่ถึงปัจจุบัน
  • ปัจจุบันชาวอเมริกัน ใช้ถุงกระดาษที่ออกแบบโดย ชาร์ล ถึงปีละ 4 หมื่นล้านใบ(ข้อมูลปี 2000)
บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://ohiohistorycentral.org/entry.php?rec=2730

คอมพิวเตอร์ เล็กที่สุดในโลก (Smallest Computer)

คอมพิวเตอร์ เล็กที่สุดในโลก


นักวิทยาศาสตร์ ได้สร้างคอมพิวเตอร์ เล็กที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคต้อหิน(Glaucoma) และมันคือระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้พื้นที่เพียง 1 ตารางมิลลิเมตร เครื่องแรกของโลก

รายละเอียด

  • เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ใช้พื้นที่เพียง 1 ตารางมิลลิเมตร ได้รับการพัฒนาโดย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ และคาดว่าจะสามารถนำออกขายได้อีกอีก 2-3 ปีข้างหน้า
  • คอมพิวเตอร์ นี้ตอนนี้ถูกพัฒนาเพื่อใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคต้อ หิน โดยใช้แทรกเข้าไปในดวงตาของผู้ป่วยโรคต้อหิน เพื่อคอยติดตามความดันภายในดวงตาของผู้ป่วย เพื่อเป็นการแจ้งเตือนว่าผู้ป่วยกำลังมีแนวโน้นนำไปสู่ อาการตาบอด หรือไม่
  • เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ออกแบบ ไมโครโปรเฟสเซอร์ให้ใช้พลังงานต่ำสุดๆ( Ultra low-power microprocessor) ไมโครโปรเฟสเซอร์นี้ปัจจุบันได้รับการพัฒนามาถึงรุ่นที่ 3 แล้วโดยทีมนักวิจัยของ Phoenix chip มันถูกออกแบบระบบหยุดการทำงาน(Sleep Mode)มาเป็นอย่างดี เพื่อให้ประหยัดพลังงานสุดๆ
  • โดยระบบจะทำงานทุกๆ 15 นาที ทำการตรวจวัดความดันภายในดวงตา โดยระหว่างการทำงานจะใช้พลังงานประมาณ 5.3 nanowatts
  • เครื่องคอมพิวเตอร์นี้มีเสาอากาศรับ ส่ง สัญญาณวิทยุแบบไร้สาย เพื่อใช้ติดต่อกับอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ภายนอก
  • ระบบคอมพิวเตอร์นี้จำเป็นต้องทำการชาร์จแบตเตอรี่โดยใช้แสง หากเป็นแสงจากภายในอาคารต้องรับแสงประมาณ 10 ชั่วโมง/วัน หรือ ถ้าเป็นแสงอาทิตย์ภายนอกอาคารถ้าทำชาร์จเป็นเวลา ชั่วโมงครึ่งเครื่องสามารถทำงานได้นานประมาณ 1 สัปดาห์ โดยพลังงานจะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่แบบแผ่นฟิล์มบาง
ระบบคอมพิวเตอร์ใหม่นี้กำลังนำไปสู่ยุคใหม่ของความพิวเตอร์ตามกฎของ Bell ที่กล่าวไว้ว่า “คอมพิวเตอร์จะมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดทุกๆ 10 ปี ทั้งขนาด และราคา” ดังคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ(PC)ในช่วงปี 1980 เปลี่ยนสู่ยุคคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คในช่วงปี 1990 เปลี่ยนสู่ยุคสมาร์ทโฟนในปี 2000 และนี้คือก้าวย่างสู่คอมพิวเตอร์ยุคใหม่ล่าสุด
บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1360339/Scientists-unveil-worlds-smallest-just-1-MILLIMETRE-square.html

ภูเขา สูงที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล (tallest known volcano in the Solar System)

สูงที่สุดในสุริยะจักรวาล


เทือกเขาที่สูงที่สุดในโลกใครๆก็รู้ว่าคือ เทือกเขาหิมาลัย โดยมียอดเขาที่สูงที่สุดก็คือ ยอดเขาเอเวอร์เรส แล้วถ้าเป็นภูเขาที่สูงที่สุดใน ระบบสุริยะจักรวาล รู้กันหรือเปล่าว่าอยู่ที่ไหน แล้วมันคือภูเขาอะไร ?

ตอบ

  • หากคุณต้องการไปพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล คงหมดสิทธิ์เนื่องจาก ภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่ ดาวอังคาร(Mars)
  • ภูเขานี้เป็น ภูเขาไฟ ที่มีชื่อว่า โอลิมปัส(Olympus)
  • โอลิมปัส เป็นภูเขาไฟรุ่นเยาว์ที่พึ่งเกิดขึ้นในช่วง Amazonian
  • ภูเขาโอลิมปัส มีความกว้างถึง 600 กิโลเมตร(กินอาณาบริเวณประมาณเท่ารัฐอริโซน่า) มีความสูงประมาณ 22 กิโลเมตร(หรือสูงเกือบ 3 เท่าของยอดเขาเอเวอร์เรส ที่ 8848 เมตร)
  • ภูเขาโอลิมปัส มีความลาดชันประมาณ 5 องศา
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Olympus_Mons

หินแกะสลักอิคา หลักฐานมนุษย์อยู่ร่วมยุคไดโนเสาร์ (Ica Stone)

หินสลักอิคา

หินสลักอิคา(Ica stone) คือ หินสลักลายนูนต่ำ ยุคอินคา แต่เมื่อหินบางก้อนถูกค้นพบ ภาพที่แกะสลักอยู่บนหินนั้นสร้างความตื่นตลึงอย่างมาก เมื่อปรากฏมีภาพมนุษย์ ขี่ไดโนเสาร์ มนุษย์ล่าไดโนเสาร์ หากภาพที่ปรากฏเป็นความจริง นั้นแสดงว่า มนุษย์เคยอยู่ร่วมยุคกับไดโนเสาร์

รายละเอียด

  • ในอดีตมีการค้นพบ หินอิคา ซึ่งเป็นหินที่ฝังอยู่ในหลุมศพของชาวอินคา โดยนักโบราณคดี
  • ต่อมานักฟิสิกส์ชาวเปรูเวียน นามว่า Javier Cabrera Darquea ได้รับ หินอิคาที่แกะเป็นรูปปลาโบราณที่คาดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว เป็นของขวัญวันเกิดปีที่ 42 (ณ 1966)
  • ทำให้ Cabrera เกิดความสนใจใน หินอินคา และเก็บสะสม หินอิคา เรื่อยมาจนถึงช่วงปี 1970 Cabrera มีหินอิคาสะสมอยู่กว่า หมื่นก้อน wowboom
  • Cabrera ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับ หินอิคา ออกมามีชื่อหนังสือว่า The Message of the Engraved Stones of Ica ทั้งได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์เพื่อจัดแสดงงานสะสมของเขา
  • แต่ หินอิคา บางก้อนนั้นปรากฏภาพที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจาก มี ภาพสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ภาพการผ่าตัดชั้นสูง ภาพมนุษย์อวกาศ ภาพดวงดาว และแผนที่ และที่น่าตื่นตะลึงที่สุดคือ ภาพมนุษย์ขี่ไดโนเสาร์ ภาพมนุษย์กำลังล่าไดโนเสาร์ ทั้งๆที่ไดโนเสาร์ได้สูญพันธุ์ไปกว่า 65 ล้านปี แต่ ทำไมจึงมีภาพปรากฏในยุคอินคาที่มีอยู่ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 - 14 มานี้เอง
  • ต่อมาในปี 1977 BBC ได้เปิดเผยเอกสารว่านาย Basilio Uschuya คือผู้ทำการปลอมหินอิคายุคใหม่ออกมา โดยใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรมแกะลายลงบนหิน แล้วนำหินไปเผาด้วยมูลวัว
  • ต่อมาในปี 1998 นาย Vicente Paris ได้ทำการตรวจสอบ หินอิคา และพบว่าบนหินอิคาปรากฏร่องรอยของสีสมัยใหม่ และรอยแกะสลักก็ดูคมชัดเกินกว่าที่จะเป็น ศิลปะ ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 13 - 14 ที่จะสึกกร่อนลงตามระยะเวลา
คลังภาพ

ภาพนี้จะเห็นว่าบนหินอิคา มีรูปไดโนเสาร์เต็มไปหมด

ภาพจั่วหัวเป็นภาพคนล่าไดโนเสาร์ ส่วนรูปนี้ไดโนเสาร์ล่ามนุษย์ คนน้ำตาไหลอาบเลย

อันนี้ของสะสมของ Cabrera

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Ica_stones

ก้อนโลหะ ทรงกลม ปริศนา (The Grooved Spheres)

โลหะทรงกลมปริศนา


ก้อนทรงกลมเซาะร่อง(Grooved Spheres) มีลักษณะคล้ายลูกเหล็กหล่อทรงกลม มีลักษณะคล้ายร่องเซาะวนรอบก้อนเหล็ก พวกมันเต็มไปด้วยปริศนา อันเนื่องมาจากพวกมันถูกฝังอยู่แหล่งชั้นแร่ ที่อายุกว่า 3 พันล้านปี แล้วใครคือผู้หล่อ ก้อนทรงกลมเซาะร่อง เหล่านี้ ทั้งที่มนุษย์พึ่งรู้จักการถลุงเหล็กเมื่อ 3 พันกว่าปีมานี้เอง

รายละเอียด


  • ก้อนทรงกลมเซาะร่อง(Grooved Sphere) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Klerksdorp Spheres
  • ก้อน ทรงกลมเซาะร่อง เป็น ก้อนโลหะทรงกลม ขนาดตั้งแต่ 0.5-10 เซ็นติเมตร บ้างก็มีลักษณะกลมแบนคล้ายจาน ซึ่งทำให้คำกล่าวอ้างว่าพวกมันมีรูปทรงกลมสมบูรณ์(กลมดิก ไม่มีบิดไม่มีเบี้ยว)นั้นไม่เป็นความจริง
  • ก้อนทรงกลมเซาะร่อง นี้ถูกพบที่เหมืองของบริษัท Wonderstone ใกล้ๆ Ottosdal ประเทศแอฟริกาใต้
  • ก้อน ทรงกลมเซาะร่อง นี้ถูกค้นพบโดยคนงานเหมืองปนอยู่กับแร่ไพโรฟิลไลท์(Pyrophyllite) ที่มีอายุ 3 พันล้านปี ด้วยช่วงเวลาที่ไม่สอดคล้องกัน เนื่องจากมนุษย์พึ่งก้าวสู่ยุคเหล็กเมื่อ 3000 ปี ที่ผ่านมานี้เอง แล้ว ก้อนกลมเซาะร่อง นี้เกิดจากอะไร บ้างกล่าวอ้างว่ามันคือ วัตถุที่สิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาในอดีตเป็นผู้สร้างขึ้น
  • แต่จากการศึกษาล่าสุด ของ เหล่านักธรณีวิทยาต่างลงความเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า ก้อนกลมเซาะร่องเกิดจากขบวนการทางธรรมชาติ
ก้อนทรงกลมเซาะร่อง คือ วัสดุอะไร

มี การกล่าวอ้างว่า ก้อนทรงกลมเซาะร่อง เป็นวัสดุผสมของ นิคเกิ้ลสตีล ที่เป็นโลหะผสมที่ไม่มีปรากฏในธรรมชาติ แต่เมื่อนำตัวอย่าง ก้อนกลมเซาะร่อง ไปทำการตรวจสอบด้วย Petrographic และ X-Ray diffraction analyses พบว่า คำกล่าวอ้างนั้นไม่เป็นความจริงเนื่องจาก ก้อนกลมเซาะร่องนั้นประกอบไปด้วย
  • เฮมาไตท์(Hematite ตัวย่อ Fe2O3 เป็นสินแร่เหล็กสีแดง มีเหล็กเป็นองค์ประกอบประมาณ 70%) หรือ แร่โวลาสโทไนส์(Wollastonite ตัวย่อ CaSiO3)
  • และมีส่วนผสมเล็กน้อยของ Goethite (FeOOH)
  • โดยทั้งแร่โวลาสโทโนส์ และ เฮมาไตท์ เป็นแร่ที่พบได้ทั่วไปบนโลก
ก้อนกลมเซาะร่อง มีขบวนการเกิดอย่างไร

เหล่า นักธรณีวิทยาต่างให้ข้อสรุปว่ามันเกิดจากขบวนการทางธรรมชาติที่เรียกว่า มวลสารพอก(Concretion การก่อตัวขึ้นเป็นชั้นทับขึ้นเรื่อยๆ) แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้อย่างแน่นอนถึงขบวนการ และขั้นตอนการเกิดของมัน บ้างก็กล่าวว่า
  • เกิดจากการตกตะกอนของ ดินภูเขาไฟ หรือ เถ้าภูเขาไฟ สะสมมากว่า 3 พันล้านปี (ทฤษฎีของ Heinrich)
  • ก้อน Wollastonite เกิดจากการขบวนการแปรสภาพ(Metamorphism) ของคาร์บอเนท(Carbonate) ในสารละลายซิลิก้าเข้มข้น ในระหว่างขั้นตอนการแปรสภาพของหินตะกอนภูเขาไฟ
  • บ้างก็ว่า ก้อนเฮมาไตท์(ก้อนทรงกลมเซาะร่อง) นั้นเกิดจาก แร่ไพไรท์(Pyrite) ที่ก่อตัวในรูปแบบมวลสารพอก(ก่อตัวขึ้นมาเป็นชั้นๆ) จากปฎิกริยาออกซิไดซ์ จากสภาพอากาศภายใต้พื้นผิวของแร่ไพโรฟิลไลท์(Pyrophyllite)
แล้วร่องที่คล้ายถูกเซาะ นั้นเกิดจากอะไร

เมื่อก่อเกิดการก่อตัวของแร่เป็นชั้นๆในลักษณะเป็นแผ่นๆทีละชั้น การเกิดเป็นร่องนั้นเป็นผลมาจากความหยาบ ละเอียดของเนื้อวัสดุที่ไม่เท่ากัน

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Klerksdorp_sphere

มี กระดูกคอ มากที่สุดในโลก (What animal has the most neck bones)

คำถาม สัตว์อะไร มีกระดูกคอ มากที่สุดในโลก ?
หลายคนอาจจะคิดว่า สัตว์ที่มีกระดูกคอมากที่สุดในโลก นั้นน่าจะเป็น ยีราฟ แต่คำตอบว่า ยีราฟนั้น ผิด อาจจะฟังแล้วไม่น่าเชื่อว่า ยีราฟมีกระดูกคอเพียง 7 ท่อน(ปล.มนุษย์ ก็กระดูกคอ 7 ท่อน)

คำตอบ

สัตว์ที่มีกระดูกคอมากที่สุดในโลก คือ หงส์ ซึ่งมีกระดูกคอมากถึง 22-25 ท่อน

ภาพโครงกระดูก หงส์
เพิ่มเติม
ยีราฟ เป็นเจ้าของสถิติ สัตว์บกที่มีคอยาวที่สุดในโลก ลำคอยาวๆของยีราฟมีประโยชน์อย่างมากที่ช่วยให้ยีราฟ สามารถกินใบไม้ในส่วนที่สัตว์อื่นไม่สามารถกินถึง แต่ มันก็สร้างความลำบากอย่างมากเมื่อยีราฟต้องการกินน้ำ เนื่องจากยีราฟมีกระดูกคอเพียง 7 ท่อน ยีราฟจึงไม่สามรถงอคอลงมาดื่มน้ำที่พื้นโดยตรง ยีราฟจึงต้องถ่างขาออก และย่อตัวลงช่วยในการดื่มน้ำ

ยีราฟต้องถ่างขา ย่อตัวเพื่อก้มคอลงกินน้ำ
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://wiki.answers.com/Q/What_animal_has_the_most_neck_bones

สถานที่ท่องเที่ยว สุดขีด ว่ายน้ำเล่น กับ หมีขาวขั้วโลก

กล้าหรือเปล่า?


คงไม่ฉลาดเอาซะเลยที่จะปล่อยเด็กๆ ลงไปเล่นน้ำกับ สัตว์กินเนื้อ ที่ แข็งแกร่งที่สุดในโลก อย่างหมีขาวขั้วโลก ดั่งในภาพ

รายละเอียด

  • เมื่อนักท่องเที่ยวก้าวลงสระน้ำ นักท่องเที่ยวจะได้รับประสบการณ์สุดขีด เสมือนได้สัมผัสตัว สัตว์กินเนื้อ ที่ แข็งแกร่งที่สุดในโลก อย่างหมีขาวขั้วโลก แต่ไม่ต้องกลัวเนื่องจากมัน ปลอดภัยสุดๆ
  • ภาพนี้ไม่ได้ใช้เทคนิคในการตกแต่งภาพใดๆทั้งสิ้น แต่มันมีตัวช่วย คือ กระจกอคีลิกใสหนา 10 นิ้ว(25.4 เซ็นติเมตร) ขวางกั้นระหว่าง นักท่องเที่ยว กับ หมีขาวขั้วโลก
  • หากคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์ สุดขีดเช่นนี้คงต้องบินไปถึง แคนนาดา เมืองOntario ณ Cochrane Polar Bear Habitat
  • ผู้ดูแล บอกถึงเหตุที่ต้องการให้นักท่องเที่ยว ได้ไกลชิดกับสัตว์ป่าเช่นนี้ เพื่อ ให้ ประชาชนเข้าใจ และลดการล่าสัตว์ป่า
  • หมีขาวสองตัวที่เห็นในภาพ เป็น หมีขาวเพศเมีย ตัวหนึ่งชื่อ ออโรร่า(Aurora) ส่วนอีกตัวชื่อ นิคิท้า(Nikita)
  • หมีขาวทั้งสองตัวนี้ถูกรับมายังศูนย์เนื่องจาก แม่ ของพวกมันถูกยิงตายโดยนายพราน ใกล้ๆกับ Winisk

เห็นมมุมกว้างแล้วค่อยสบายใจหน่อย

หากยังไม่สะใจ ก็ไปเที่ยวเล่นน้ำกับจระเข้ได้อีกที่ออสเตรเลีย กันได้ที่บทความนี้ Click

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.dailymail.co.uk/news/article-1354786/Children-swim-inches-monster-polar-bears.html

ไขปริศนาบางส่วน ของ หนังสือที่ลึกลับที่สุดในโลก

มาแล้วจ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ความคืบหน้าของ 1 ใน บทความที่ Admin DEN ชื่นชอบที่สุด หนังสือ ที่ ลึกลับที่สุดในโลก วันนี้มีความคืบหน้าเล็กๆ ที่อาจจะเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการ คลี่คลายความลับ และปริศนา ที่บันทึกไว้ใน Voynich manuscript

รายละเอียด

  • Voynich manuscript เป็น หนังสือที่ลึกลับที่สุดในโลก ทั้งภาษาที่เขียน รูปภาพ ทุกอย่างล้วนเป็นปริศนา สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่เหล่า นักโบราณคดี นักวิทยาศาสตร์ มาเป็นเวลากว่า 100 หลังจากมีการค้นพบมัน
  • แต่วันนี้ต้องขอบคุณ เทคนิค คาร์บอนเดทิ่ง(Carbon dating) ที่ช่วยไขปริศนาในส่วนของช่วงเวลากำเนิดของ มัน คือ มันถูกเขียนขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 นานกว่าที่คาดคิดกันไว้ในตอนแรกถึง 100 กว่าปี
  • แต่ปริศนาเกี่ยวกับ ข้อความ และรูปภาพ ภายในหนังสือ ก็ยังคงเป็นความลับอยู่ แต่การค้นพบช่วงเวลาในการเขียนหนังสือ ถือว่าเป็นย่างก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่จะนำไปสู่การ ไขปริศนาที่เหลือ
  • Voynich manuscript ถูกค้นพบโดยดีเลอร์หนังสือหายาก นามว่า Wilfrid Voynich ในหมู่บ้าน Villa Mondragone ใกล้ๆกรุงโรม อิตาลี ในปี 1912
  • แน่นอน Wilfrid Voynich ดั่งต้องมนต์ของมัน เขาใช้เวลาที่เหลือ 18 ปี ของเขาเพื่อไขปริศนาของมัน แต่เขาไม่สามารถทำได้และเสียชีวิตลง
  • หนังสือเล่มนี้ได้ถูกส่งต่อสู่เหล่านักวิทยาศาสตร์ รุ่นต่อรุ่น เพื่อไขปริศนาของมันว่าข้อความภายในหนังสือเล่มนี้คืออะไร แต่ ก็ไม่มีใครสามารถไขความลับว่า ภายในนี้ได้บันทึกอะไรไว้
  • ปริศนาบางส่วนที่พึ่งคลี่คลายลงได้คือ ช่วงเวลาของการกำเนิดของมัน ที่ไขโดยวิธี คาร์บอนเดทิ่ง โดยทีมงานของ มหาวิทยาลัยอริโซน่า(Arizona) ที่ทำการตัดชิ้นส่วนกระดาษขนาด 1 x 6 มิลลิเมตร จำนวน 4 ชิ้น จาก 4 หน้ากระดาษส่งไปให้แด่ The Beinecke Rare Book and Manuscript Library ของ มหาวิทยาลัยเยล(Yale) ทำการวิเคราะห์
  • ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนทำการวิเคราะห์ ในส่วนรูปภาพ สี และหมึกที่ใช้ในการเขียนหนังสือ โดย ด็อกเตอร์ Greg Hodgins พบว่า สี ที่ใช้ในหนังสือนั้น คล้ายคลึงกับสีที่ใช้ใน ยุคเรอเนสซองซ์(Renaissance) ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิเคราะห์จาก คาร์บอนเดทิ่ง ในส่วนของช่วงเวลา
  • ซึ่งการทราบเวลาที่เขียนหนังสือนั้น ทำให้มีความเป็นไปได้ที่มันจะเป็นบันทึกเกี่ยว กับ การเล่นแร่แปรธาตุ(Alchemy เป็นการพยายามจะแปรธาตุอื่นให้เป็นทองคำ เฟื่องฟูมากในยุคกลาง) ที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้น
  • ทำให้ตอนนี้ข้อมูลที่เราพอมีอยู่เกี่ยวกับ Voynich manuscript ก็คือ อายุของมัน และเนื้อหาคร่าวๆ จากรูปภาพที่มีบันทึกไว้ภายในเล่มว่าเนื้อหานั้นคงเกี่ยวข้องกับ พฤกษศาสตร์ , ดาราศาสตร์ และชีววิทยา
บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1355978/Is-real-life-Da-Vinci-Code-decoded-Scientists-finally-work-age-mystery-manuscript.html

ฮูดินี แมว (Houdini Cat)

เห็นภาพแล้วตกใจพอสมควร


wowboom เคยนำสนอเรื่องบอนไซแมว ไปแล้วครั้งหนึ่งและสรุปว่ามัน Fake แล้วภาพนี้มันคืออะไร ตกลงว่าบอนไซแมวมันเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่


รายละเอียด
  • หากย้อนกลับไป นักมายากลที่โด่งดังที่สุดในโลกคนหนึ่ง คงปฎิเสธไม่ได้ว่าต้องมี เขาคนนี้ แฮรี่ ฮูดินี่(Harry Houdini) ผู้ไม่มีพันธนาการใดจะกักขังเขาไว้ได้ wowboom
  • ภาพที่เห็นนี้ไม่ใช่การทรามานสัตว์ แต่มันคือแมวน้อยจอมซนที่ชอบมุดเข้าไปในที่แปลกๆเป็นประจำ
  • แมวน้อยตัวนี้มีชื่อว่า Ksyusha มันเป็นลูกแมวสายพันธุ์หิมาลัย(Himalayan คล้ายแมวเปอร์เซีย)
  • คุณอาจจะเห็นว่าแมวน้อยติดอยู่ในขวดโหล แต่ความจริงมันมุดเข้าไปเอง และไม่ได้ติดคับขวดจนออกไม่ได้เนื่องจากในความเป็นจริง แมวน้อยตัวเล็กกว่าที่เห็นมากเนื่องจากแมวน้อยมีขนที่ฟู มันจึงสามารถมุดเข้าออกได้อย่างสะดวก
คลังภาพ



รูปร่างหน้าตาของเจ้า Ksyusha ตอนที่ไม่อยู่ในขวด


หนูไม่ใช่ แยม นะ เป็นแมว 100%


บางครั้งก็ชอบไปแอบในเครื่องซักผ้า


นี้กำลังเล่นกับขาเก้าอี้

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.dailymail.co.uk/news/article-1358350/Playful-kitten-just-loves-getting-tight-spot.html

ค้นพบ แร่ คริปโตไนซ์ มีอยู่จริงบนโลก ไม่ใช่แค่ การ์ตูน (Kryptonite found on Earth)

คริปโตไนซ์


หากจะถามคอการ์ตูน ซูปเปอร์แมนว่า ซุปเปอร์แมน กลัวอะไร คงตอบกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ซุปเปอร์แมนมีจุดอ่อน เมื่อสมผัสรังสีจาก แร่ คริปโตไนซ์(Kryptonite) จะสูญเสียพลกำลังมหาศาลไป จินตนาการจากโลกการ์ตูน นั้นเกิดเป็นความจริงขึ้นมา เมื่อมีการค้นพบ แร่ คริปโตไนซ์ ขึ้นมาจริงๆ

รายละเอียด

  • นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนนาเดี่ยน ได้ค้นพบ ธาตุใหม่ ของโลกนี้ ที่มีคุณสมบัติทางเคมีตรง กับ คริปโตไนซ์ แร่ธาตุที่ซุปเปอร์แมนกลัว
  • แร่ธาตุ คริปโตไนซ์ นี้ถูกค้นพบในเหมือง Jadar ในประเทศ เซอร์เบีย
  • แร่ธาตุ ที่ค้นพบนี้มีมีสูตรทางเคมี ตรง คริปโตไนซ์ ในภาพยนตร์ เรื่อง ซุปเปอร์แมนรีเทรินส์(Superman Returns) ในปี 2006 ที่ประกอบไปด้วย โซเดียม(Sodium) ลิเธียม(Lithium) โบรอน(Boron) ซิลิเคท(Silicate) และ ไฮโดรไซค์(Hydroxide)
  • แต่มันก็เหมือนกันเฉพาะทางเคมีเท่านั้น ในทางกายภาพนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง เนื่องจากในการ์ตูน คริปโตไนซ์ นั้นเป็นผลึกเรืองแสงสีเขียว แต่ คริปโตไนซ์ที่ค้นพบนี้ เป็นแร่ธาตุผงสีขาว ที่ไม่มีคุณสมบัติทางรังสีใดๆ
  • แต่แร่ธาตุ คริปโตไนซ์ ที่ค้นพบนี้ ไม่ได้ใช้ว่า คริปโตโนซ์ ตามการ์ตูน หรือ ภาพยนตร์ แต่มันใช้ชื่อว่า Jadarite ตามชื่อเมืองที่มันถูกค้นพบ
  • มันไม่ถูกตั้งชื่อว่า คริปโตไนซ์ เนื่องจาก มันไม่ได้ประกอบด้วย ธาตุคริปตัน(Krypton) ที่เป็นก๊าซเฉื่อยในตารางธาตุ
  • อธิบายภาพจั่วหัว ด้านซ้ายมือคือของที่ระลึกที่เลียนแบบ คริปโตไนซ์ จากการ์ตูน ส่วนทางขวา คือ ธาตุJadarite ที่มีคุณสมบัติทางเคมีสอดคล้องกับ คริปโตไนซ์ในการ์ตูน จะเห็นความแตกต่างทางกายภาพอย่างชัดเจน
  • ปล. บทความนี้อาจจะตกยุคไปมากหน่อย เนื่องจากการค้นพบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2007 แต่คิดว่าคงมีเพื่อนอีกบางท่านที่ไม่ทราบ เพราะผมก็ไม่เคยทราบเหมือนกัน
บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.cbc.ca/technology/story/2007/04/24/science-kryptonite.html

หนุ่มจีน มีปลายมีดยาว 10 cm ฝังในกะโหลก 4 ปี แต่ไม่ตาย

อะไรมันจะมหัศจรรย์เช่นนี้


เมื่อเช้า(วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 54) ดูข่าวตอนเช้าแล้วคาใจสุดกับข่าว ที่มีชายชาวจีนปวดหัว ไปหาหมอเมื่อหมอ X-ray ดูกับพบว่ามีปลายมียาวถึง 10 เซ็นติเมตรฝังอยู่ในหัวกะบาลของเขา โดยที่เราไม่รู้เรื่องเลยมันเกิดขึ้นได้อย่างไร


รายละเอียด

  • หนุ่มใหญ่ชาวจีนวัย 37 ปี นามว่า Li Fu จาก มณฑล ยูนาน(Yunnan) ไปพบแพทย์พร้อมกับอาการ ปวดหัว
  • เมื่อแพทย์ทำการ X-ray ก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบเงาของวัตถุบางอย่าง มีลักษณะยาวเรียว ประมาณ 10 เซ็นติเมตร
  • นาย Li Fu เองก็ตกตะลึงไม่แพ้คณะแพทย์เมื่อเห็นฟิลล์ X-ray และได้ให้ข้อมูลว่าเมื่อประมาณปี 2006 เขาเคยถูกปล้น และถูกทำร้ายโดยถูกแทงเข้าที่ศีรษะ
  • ซึ่งคาดว่าเมื่อปี 2006 ที่นาย Li Fu ถูกปล้นเขาคงถูกแทงด้วยมีดจนทำให้ปลายมีดหักฝังอยู่ในหัวของนาย Li Fu แต่แพทย์ที่ทำตรวจรักษาในคราวนั้นคงตรวจไม่ละเอียดถี่ถ้วนจึงไม่พบปลายมีดที่หักคาอยู่ จึงทำการรักษาเฉพาะบาดแผลที่ถูกแทงจนหายเป็นปกติ
  • นายแพทย์ Luo Zhiwei จากโรงพยาบาลYuxi ที่ทำการผ่าตัดนำปลายมีดออกมากล่าวว่าเขาไม่เคยเห็นอะไรที่แปลก ประหลาดเช่นนี้มาก่อน มันน่ามหัศจรรย์ อย่างยิ่งที่นาย Li Fu รอดชีวิตจากการโดนแทงในครั้งนั้น ทั้งที่มีปลายมีฝังอยู่ในกะโหลกเป็นเวลากว่า 4 ปี

ภาพนาย Li Fu ที่มีปลายมีดฝังอยู่ในหัวกว่า 4 ปี โดยไม่รู้เลยถ้าไม่ปวดหัวซะก่อนอาจจะแก่ตายก่อนก็ได้


ปลายมีดที่ผ่าออกมายาวถึง 10 เซ็นติเมตร
มันจะเกี่ยวกับบัตรทอง หรือ ประกันสังคม หรือเปล่า?
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.dailymail.co.uk/news/article-1357508/Man-knife-buried-face-years-Ive-got-stabbing-pains.html

ความลับ ของ มีดที่ไม่มีวันทื่อ อยู่ใน หอยเม่น (The secret to a kitchen knife that never needs sharpening)

มีด ไม่มีวัน ทื่อ


หากจะกล่าวถึงมีด แน่นอนมีดที่ดีต้องคม(ยกเว้นตอนที่มันบาดมืดเรา เราจะกล่าวว่า "มีดเฮงซวย ทำไมมันคมจังวะ" ) เมื่อมีการใช้งานมีดไปเรื่อยๆมีดจะทื่อไปเรื่อยๆ จำเป็นจะต้องทำการลับมีดเพื่อเพิ่มความคม แต่วันนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ ความลับ ที่อาจจะพัฒนาไปสู่มีดที่ไม่มีวัน ทื่อ ใน หอยเม่นทะเล

รายละเอียด

  • หอยเม่น ผู้กำความลับ ของมีดที่ไม่มีวันทื่อ ก็คือหอยเม่นทะเลสีม่วงแคลิฟอร์เนีย(California purple sea urchin)
  • ความลับนั้นไม่ได้อยู่ใน หนามแหลมๆของหอยเม่น แต่มันซ่อนอยู่ใน ฟัน ของหอยเม่น หลายคนคงเริ่มสงสัยแล้ว หอยเม่นมีฟันด้วยหรือ คำตอบคือมีครับ ปาก และฟันของหอยเม่นจะซ่อนอยู่ใต้ลำตัวบริเวณที่ติดกับพื้นทะเล
  • จากการวิเคราะห์ พบว่า ฟัน ของ หอยเม่น มีโครงสร้างที่ประกอบกันแบบซับซ้อน โดยประกอบไปด้วย ชั้นของ ผลึกแคลไซท์(Calcite crystals) ที่จับตัวเข้าด้วยกัน โดย ซุปเปอร์ซีเมนต์ธรรมชาติ(Super-hard natural cement)
  • โครงสร้างผลึกนั้นประกอบไปด้วย 2 รูปแบบ คือ แบบแผ่น(Plates) และแบบเส้นใย(Fibres) โดยมีการสานขัดสลับกัน ทำให้เกิดเป็นโครงสร้างที่แข็งแรงทนทาน
  • ระหว่างชั้นผลึกแคลไซท์ เป็น ชั้นวัสดุอินทรีย์ที่ไม่แข็งแรง(อ่อนมาก) เมื่อชั้นผลึกแคลไซท์เกิดทื่อมันก็จะแตกออกไป เผยชั้นผลึกแคลไซท์อันใหม่ที่คมกริบ ด้านล่าง ทำให้ฟันของหอยเม่นคมอยู่เสมอ
  • ศาสตราจารย์ Pupa Gilbert หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า "ชั้นของสารอินทรีย์ที่ไม่แข็งแรง ก็เปรียบเสมือนเป็นจุดอ่อนในโซ่ ที่ถูกกำหนดไว้แล้วล่วงหน้าว่าจะขาดบริเวณรอยต่อของห่วงเหล็ก หรือ จะเปรียบกับรอยปรุบนกระดาษ ที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าเวลาฉีกจะขาดตามแนวรอยปรุ ซึ่งเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุด"
  • ศาสตราจารย์ Pupa Gilbert ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า "เมื่อเราทราบวิธีการ และขบวนการทำงานของฟันหอยเม่นเช่นนี้ เราก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็น มีด ที่ทุกครั้งที่ทำการ แล่ หั่น สับ ทุกครั้งเท่ากับเป็นการลับมีดไปในตัว จึงสามารถทำให้มีดที่เลียนแบบฟันหอยเม่น สามารถคงความคมไว้ได้ตลอด

ภาพ หอยเม่นทะเลสีม่วงแคลิฟอร์เนีย


  • http://www.dailymail.co.uk/news/article-1341499/The-secret-kitchen-knife-needs-sharpening-Ask-sea-urchin.html

เครื่องดนตรี แปลก ประหลาด ที่สุดในโลก ( Pikasso guitar )

เครื่องดนตรีแปลกๆ


เห็นภาพแล้วรู้หรือเปล่าว่ามันคือ อะไร แน่นอนมันเป็นเครื่องดนตรี และเป็นเครื่องดีด หลายคนอาจจะคิดว่ามันเหมือนกีต้าร์ ใช่ครับมันเป็นกีต้าร์ ที่ แปลก และประลาด จริงๆ


รายละเอียด

  • ภาพที่เห็นจั่วหัวนี้คือ เครื่องดนตรี เป็นเครื่องดีดทำมือเฉพาะ จำพวก กีต้าร์พิญ(Harp guitar)
  • กีต้าร์ตัวนี้สร้างโดย ชาวแคนนาเดียน นามว่า Linda Manzer ในปี 1984
  • กีต้าร์ นี้มีชื่อว่า ปิคาสโซ(Pikasso) อันเป็นผลจากรูปทรงที่เป็นเหลี่ยมมุม คล้ายผลงานของ ศิลปินเอกของโลก นาม ปาโบล ปีกัสโซ( Pablo Picass)
  • กีต้าร์ปีคาสโซ นี้มีจำนวนสายมากถึง 42 สาย บนคอกีต้าร์ 3 คอ
  • แน่นอนมันสามารถเล่นได้จริง โดยกีต้าร์ปีคาสโซนี้ก็ถูกใช้โดย นักดนตรีแจ็ส Pat Metheny ในบทเพลง "Into the Dream" และ "Are You Going With Me? "
บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Pikasso_guitar

วิธีทำความสะอาดกระจก ตึกที่สูงที่สุดในโลก ( How to clean the glass of world’s tallest building)

ทำความสะอาด ตึก สูงที่สุดในโลก


หากจะถามถึงตึกที่สูงที่สุดในโลกขณะนี้ หลายๆคนคงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ก็ต้องตึก เบิร์จ ดูไบ (Burj Dubai) แห่งมหานคร ดูไบ ประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ใครๆก็รู้ แต่รู้หรือเปล่าว่า เขาทำความสะอาดกระจก ตึกที่สูงที่สุดในโลกกันอย่าง?

รายละเอียด

  • ตึกเบิร์จ ดูไบ หรือ ในชื่อใหม่ว่า เบิร์จ คาลิฟาร์(Burj Khalifa) เพื่อเป็นเกียรติต่อ ประธานาธิบดี ของ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(UAE)
  • ตึก เบิร์จ คาลิฟาร์ นี้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2004 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2009
  • ที่มีความสูง 828 ชั้น มีชั้นกว่า 200 ชั้น แต่ถูกใช้เป็นที่พักอาศัยเพียง 160 ชั้น ส่วนที่เหลือใช้เป็นอาคารร้านค้า และบริการต่างๆ
  • มึจำนวนกระจกที่ติดตั้งเป็นผนังภายนอกกว่า 26,000 แผ่น หรือประมาณ 1.2 แสนตารางเมตร และความสูงของกระจกแผ่นที่สูงที่สุดก็สูงจากพื้นกว่า ครึ่งกิโลเมตร(512 เมตร) ถ้าใช้วิธีพื้น ธรรมดา คงต้องมีคนเช็ดกระจกห้อยอยู่ข้างตึกทั้งปีทั้งชาติ
  • บริษัททำความกระจกจากออสเตรเลีย เมลเบิร์น นามว่า Cox Gomyl จึงได้รับเลือกมาปฏิบัติงานสุดท้าทายนี้ โดยใช้เวลาทำความสะอาดประมาณ 3 เดือน/ปี
  • แน่นอนการจะทำความสะอาดให้เสร็จภายในระยะเวลาที่จำกัดเพียง 3 เดือนนั้นคงไม่สามารถใช้เฉพาะแรงงานคนโดยลำพัง ทางบริษัทจึงได้สร้างกระเช้าทำความสะอาดด้วยทุนสร้างกว่า 5 ล้านปอนด์(อยากรู้กี่บาทก็ คูณ 50 ) ที่ออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดตึก เบิร์จ คาลิฟาร์ โดยเฉพาะ
  • ต้องใช้กระเช้าทำความสะอาดถึง 12 เครื่อง(น้ำหนักรวม 12 เครื่องกว่า 13 ตัน) และพนักงานทำความสะอาดอีก 36 คน( 3 คน/กระเช้า)
  • เหล่าพนักงานทำความสะอาดต้องยืนทำงานอยู่บนกระเช้า ที่ยืดขึ้นยืดลง โดย กระเช้า
  • ส่วนน้ำยาทำความสะอาด ก็น้ำสบู่ธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ

กระเช้าที่ติดอยู่ปลายเครน ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อทำความสะอาด ตึกที่สูงที่สุดในโลก


อันนี้ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับบริเวณ ทาวเวอร์อันสูงที่สุดที่ไม่มีพื้นที่ด้านบนให้ตั้งเครนกระเช้า จึงต้องใช้การติดไว้ข้างๆแทน


มีใครสนใจทำงานนี้หรือเปล่าครับ : )
ท่าทางจะรายได้งามทีเดียว

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://amazingdata.com/how-to-clean-the-glass-of-worlds-tallest-building/

เค้กแต่งงาน ที่ เก่าเก็บที่สุดในโลก (oldest wedding cake)

ต้อนรับวันวาเลนไทน์


ขอต้อนรับสู่วันวาเลนไทน์ ก็เลยเอาบทความเกี่ยวกับเค้กแต่งงามมาให้ชมกัน แต่ เป็น เค้กที่เก่าเก็บที่สุดในโลก ซะงั้น

รายละเอียด

  • เค้กแต่งงาน ก้อนนี้อบตั้งแต่ปี 1898 หรือ 113 ปีล่วงมาแล้ว
  • ด้วยอายุกว่า 100 ปี ล่วงมามันผ่านอะไรมาเยอะ มันรอดจากการทิ้ง ระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2
  • เค้กก้อนนี้ตกแต่งแบบ วิคเตอเลีย อย่างงดงาม
  • เดิมทีเค้กก้อนนี้ เป็นเค้กตั้งโชว์อยู่หน้าร้าน เบเกอรี่ ใน Basingstoke, Hampshire ประเทศอังกฤษ ที่ปิดตัวลงเมื่อปี 1964
  • เมื่อร้านปิดตัวลง เค้ก จึงถูกนำไปเก็บไว้ยังห้องใต้หลังคา เป็นเวลานับทศวรรษ
  • จนกระทั้งลูกสาวของร้าน เบเกอรี่ ได้ บริจาคมันให้แก่ พิพิธภัณฑ์ Willis ในเมือง Bsaingstoke ที่แทบจะไม่มีคนรู้จัก
  • โดยเหตุผลที่เธอต้องบริจาค เค้กให้แด่พิพิธภัณฑ์ ก็เนื่องจากเธอไม่ได้แต่งาน และเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตเธอใกล้มาถึง เธอกลัวว่าจะมีใครมา พบเค้กก้อนนี้ที่ห้องใต้หลังคาในบ้านของเธอ และกลัวว่าใครคิดว่าเธอนั้นแต่งานแล้วถูกทิ้ง ให้อยู่เดี่ยวดายจนวาระสุดท้าย
  • คนดูแลพิพิธภัณฑ์ Sue Tapliss กล่าวว่ามันถูกเก็บรักษาอยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสม ในสภาพที่ร้อนเป็นสามารถให้น้ำตาลละลายซึมออกมาสัมผัสกับ ไอซิ่ง(Icing) ทำให้เค้กเกิดเป็นสีน้ำตาลเข้ม
  • เค้กที่ได้รับการบริจาคมาอยู่ในสภาพที่ชื้น ทางทางพิพธภัณฑ์จึงใช้ ซิลิก้าเจล ทำให้เค้กแห้ง เพื่อหวังว่าเค้กก้อนนี้จะมีอายุให้คนชื่นชมไปอีกนานๆ
บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.dailymail.co.uk/news/article-1356557/Is-worlds-oldest-wedding-cake-Creation-1898-survived-World-War-II-bomb-blast.html

ต้นไม้ ที่สามารถ ตรวจจับวัตถุระเบิด ได้

ตรวจจับวัตถุระเบิด


เมื่อภัยก่อการร้าย คลุกคามไปทุกหนแห่ง และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเหล่าผู้ก่อการร้ายก็คือ ระเบิดฆ่าตัวตาย และเมื่อมันเกิดขึ้นมาเครื่องบินก็ยากยิ่งที่จะมีใครรอดชีวิตจากมัน สิ่งเดียวคือต้องป้องกันไม่ให้มีวัตถุระเบิดหลุดรอดขึ้นสู่เครื่องบินเป็นอันขาด และเหล่านักวิทยาศาสตร์ ก็ได้ค้นคว้า ต้นไม้ที่จะเปลี่ยนสีเมื่อสัมผัสกับสารระเบิด

รายละเอียด


  • เมื่อเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้สอนให้ โปรทีน ในพืชเปลี่ยนสีจากสีเขียว กลายเป็น สีขาว เมื่อสัมผัส กับ สารระเบิด
  • ต้นไม้ตรวจวัตถุระเบิด ทำงานโดยอาศัยหลักการ เมื่อ โปรทีนใน DNA ของพืชจะมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า โดย การปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า Terpenoids ที่ทำให้ผิวชั้นนอกของใบหนาขึ้น ทำให้ใบเกิดการเปลี่ยนสี
  • ต้นไม้ตรวจวัตถุระเบิด นี้วิจัยโดย นักชีววิทยา นามว่า ศาสตราจารย์จูน มีดฟอร์ด(June Medford) จาก มหาวิทยาลัย โคโลราโด(University of Colorado)
  • มันยังสามารถนำไปประยุกต์ เพื่อ นำไปตรวจ สารอื่นได้อีก ทั้งสิ่งเสพติด มลพิษในน้ำ ในอากาศ
  • ทีมวิจัยของ ศาสตราจารย์จูน ได้รับทุนวิจัย จาก U.S. Defense Threat Reduction Agency เป็นเงิน 7.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ระยะเวลาการวิจัย 3 ปี เพื่อนำงานวิจัย ต้นไม้ตรวจวัตถุระเบิด สามารถนำออกมาใช้ได้จริง
บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1351085/How-scientists-developed-plants-detect-bombs.html

ดาวเคราะห์ ที่ ร้อนที่สุดในจักรวาล ( Hottest planet in the universe )

ดาวเคราะห์ ที่ ร้อนที่สุดในจักรวาล


wowboom เคยนำเสนอบทความเรื่อง สถานที่หนาวเย็นที่สุดในจักรวาล มาแล้ววันนี้เลยมานำเสนอบทความเรื่อง ดาวเคราะห์ ที่ ร้อนที่สุดในจักรวาล ดวงดาวนั้นมีอุณหภมิสูงถึง 3,200 องศาเซลเซียส

รายละเอียด

  • เมื่อปีที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์มีการค้นพบ ดาวเคราะห์ ที่ร้อนที่สุดในจักรวาล คือดาวก๊าซที่มีชื่อว่า WASP-33b หรือที่รู้จักกันในชื่อ HD15082 โดยพื้นผิวของดวงดาวมีอุณหภูมิสูงถึง 3,200 องศาเซียส โดย นาย Alexis Smith ของมหาวิทยาลัย Keele University ใน Staffordshire โดยใช้กล้องโทรทรรศย์ William Herschel Telescope ที่ตั้งในเกาะ the Canary Islands สำรวจพบ
  • ดาว WASP-33b ล้มแชมป์เก่าที่เป็นดาวเคราะห์ในทางช้างเผือก โดยดาว WASP-33b มีอุณหภูมิสูงกว่าแชมป์เก่าไปถึง 900 องศา
  • ดาว WASP-33b มีระยะทางห่างจากโลกประมาณ 380 ปีแสง
  • ดาวเคราะห์(Exoplanet คือดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ที่นอกเหนือไปจากระบบสุริยะจักรวาลของเรา) ที่ถูกเผาไหม้เนื่องจากโคจรใกล้ดาวฤกษ์ที่มีอุณหภูมิสูงถึง 7,160 เซลเซียส เนื่องจากดาว WASP-33b โคจรรอบใกล้ดาวฤกษ์ คือ มีระยะทางเพียง 7 ใน 100 ส่วนจากระยะทางจากดวงอามทิตย์ถึงดาวพุธ ทำให้มันใช้เวลาเพียง 29.5 ชั่วโมงโคจรรอบดาวฤกษ์
  • ดาว WASP-33b เป็นดวงดาวในกลุ่มดาวแอนโดรเมดา(Andromeda)
  • ดาว WASP-33b เป็นดาวสีขาว มีขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัส (Jupiter) ประมาณ 4.5 เท่า
  • ดาว WASP-33b มันจึงน่าสนใจเนื่องจากดาวเคราะห์ส่วนมากในจักรวาลไม่สามารถตรวจพบโดยกล้องโทรทรรศน์เนื่องจากไม่มีแสงในตนเอง จึงถูกแสงจากดาวฤกษ์บดบังจนมองไม่เห็น
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1351035/WASP-33b--HD15082-Hottest-planet-scorching-3-200C.html
  • http://www.batangastoday.com/wasp-33b-makes-new-record-as-the-hottest-planet-at-3200%C2%B0c/8859/

การบำบัดด้วยความเย็น ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า จุดเยือกแข็ง (Cryotherapy)

Coolest


แน่นอนมันคงไม่เย็นระดับผิวๆอย่างการ ประคบด้วยถุงน้ำแข็ง แต่มันจะต้องเย็นระดับ ลบ 120 องศาเซลเซียสกันทีเดียว แล้วอย่างนี้ทำสปาแล้วไม่ไปเกิดใหม่เลยหรือ? ก็ต้องติดตามกันครับ


รายละเอียด

  • Cryotherapy คือการบำบัดด้วยความเย็นจัด
  • การบำบัด รูปแบบที่ใช้ความเย็นจัดในการบำบัด รักษา นี้มีชื่อเรียกว่า Cryotherapy ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ คือ cryo ซึ่งแปลว่า "เย็น" กับคำว่า therapy ซึ่งแปลว่า การดูแลรักษา
  • การทำ Cryotherapy จะส่งผลให้ ลดการเผาผลาญของเซลล์(cellular metabolism) , เพิ่มการรอดชีวิตของเซลล์(cellular survival) , ลดการอับเสบ , ลดอาการปวด , กระตุ้นการหดตัวของหลอดเลือดอันเป็นผลจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ(Vasoconstriction) และอุณหภูมิที่ต่ำมาก ยังส่งผลให้เกิดการทำลายเซลล์ที่ตายแล้ว โดยการตกผลึก ของ ไซโทซอล(cytosol)
  • ด้วยคุณลักษณะเหล่านี้จึงมีการนำวิธี Cryotherapy ไปใช้ในการทำลายเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ เช่นการรักษา หูด ไฝ ขี้แมลงวัน และ ผิวหนังหนาเป็นขุยที่เรียกว่า solar keratosis
  • ผู้รับการบำบัดจะเข้าไปในห้องควบคุมอุณหูมิ ที่เรียกว่า cryogenic chamber เป็นระยะเวลาสั้นๆ(เทียบเคียงได้กับการว่ายน้ำที่เย็นจนเป็นน้ำแข็งเป็นเวลา 3 นาที) โดยใช้ ไนโตรเจนเหลว(liquid nitrogen) เป็น สารทำความเย็น
  • การทำ Cryotherapy ต้องมีการควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญ และมีการตรวจวัดสภาพร่างกายตลอดเวลา เพื่อป้องกันการ ถูกทำลายของเนื้อเยื่อ จากน้ำแข็งกัด หรือ เกิดสถาวะหนาวจัด (Hypothermia ถึงขั้นเสียชีวิตได้)
  • การบำบัดจะทำที่อุณหภูมิ ลบ 120 องศาเซลเซียส โดยผู้รับการบำบัดจะต้องได้รับการป้องกันน้ำแข็งกัด โดยสวม ถุงมือ ถุงเท้า ที่ปิดปากจมูก ที่ปิดใบหู นอกนั้นเปลือยเปล่า หรือ สวมเพียงชุดว่ายน้ำ
  • โดยใช้เวลา 2-3 นาทีในการบำบัด โดยระหว่างนั้นอุณภูมิผิวหนังโดยทั่วไปจะลดลงเหลือ 12 องศา แต่อุณหูมิผิวบางส่วนอาจลดลงเหลือเพียง 5 องศา แต่ อุณภูมิภายในร่างกายจะยังคงที่อยู่ที่ 36 อาศา
  • การบำบัดด้วยวิธีนี้จะไปกระตุ้นระบบป้องกันตัวของมนุษย์ทำให้เกิดการหลั่งสาร สาร เอ็นโดฟินส์ (Endorphines) ซึ่งจะทำให้สามรถช่วยในลดการเจ็บปวดได้
  • การทำ Cryotherapy ทั้งร่างกาย นั้นเดิมทีมีต้นกำเนิดมาจาก ญี่ปุ่น ในปี 1880 และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากโปแลนด์ได้นำแนวคิดดังกล่าวมามาสร้าง cryogenic chamber ในศูนย์ฟื้นฟูสภาพร่างกายโอลิมปิค ใน Spala ประเทศโปแลนด์ และเปิดใช้งานเมื่อปี 2000 และมันก็ถูกใช้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บจากกีฬา
  • จากรายงานผู้ที่ทำ Cryotherapy ต่างส่งผลหลายหลาย ทั้่งการลดอาการนอนไม่หลับ โรคไขข้อ โรคกล้ามเนื้อ อาการคัน โรคสะเก็ดเงิน ลดอาการปวด
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Cryotherapy

แมว น่ากลัวที่สุด และ น่าสงสารที่สุด ไปพร้อมๆกัน

แมวน่ากลัว แต่ น่าสงสาร


ใครที่ได้พบกับแมวสีขาวขนสั้นตัวนี้ ต่างหวาดกลัวในหน้าตาของมัน ที่ดุจดั่งปีศาจร้าย ทั้งไม่มีใบหู จมูกแหว่ง และดวงตาสีเหลืองกับแววตาอันไม่เป็นมิตร

รายละเอียด

  • แมวขนสั้นสีขาว เพศผู้ ตัวนี้เป็นแมวหลงไร้บ้าน วัย 14 ปี ที่มีชื่อว่า ชาลี(Charlie)
  • ชาลีเคยมีผู้หญิงรับมันไปอุปการะ แต่ ชาลีเกิด เป็น มะเร็งผิวหนัง ทำให้มันต้องถูกส่งตัวไปรักษา และถูก ตัดจมูก ตัดใบหู เพื่อรักษาชีวิตของมันไว้
  • หลังจาก ชาลี รอดตายจากมะเร็งร้าย เมื่อมันถูกนำกลับบ้านผู้หญิงที่รับอุปการะ ชาลี กับไม่สามารถเข้ากับสุนัข และแมวอีกสองตัวของผู้อุปการะได้ มันจึงถูกนำมาปล่อยที่ ศูนย์สงเคราะห์สัตว์จรจัด Blue Cross
  • นับจากนั้นไม่ ผู้ใจบุญคนใดจะชายตาแล ชาลี อีกเลยเนื่องจากทุกคนต่างหวาดกลัวในหน้าตาของ ชาลี ทำให้ ชาลี ต้องอยู่อย่างเดียวดายในศูนย์
  • เจ้าหน้าที่ศูนย์กล่าวว่า ชาลี เป็นแมวขี้เล่นถึงจะแก่แล้วก็ตาม มันยังสามารถได้ยิน สามารถได้กลิ่น เหมือนปกติ และเจ้าหน้าที่ก็หวังว่า เหล่า สาวกแฮรี่ พอตเตอร์ จะสนใจที่จะรับมันไปเลี้ยงดูเนื่องจากมันมีหน้าตาเหมือน ลอร์ดโวลเดอมอร์
บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.dailymail.co.uk/news/article-1355548/Volder-mog-The-homeless-cat-new-family-looks-like-Harry-Potter-villain.html

แม่น้ำ เปลี่ยนเป็น สีเขียวสะท้อนแสง

แม่น้ำ สีเขียวสะท้อนแสง

สิ่งที่เห็นในภาพนี้ได้สร้างความ งุนงง ให้แก่ผู้พบเห็นเหตุการณ์นี้ ในสวนสาธารณะ Victoria's peaceful Goldstream และอยู่มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ คำถามมากมายยังคงอยู่ว่า เหตุกาณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร แม่น้ำถึงกลายเป็นสีเขียวสะท้อนแสง เช่นนี้

รายละเอียด

  • ภายหลังเหตุการณ์ประหลาดที่ทำให้แม่น้ำ เกิดเปลี่ยนเป็นสีเขียวสะท้อนแสงนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2010 น้ำได้ถูกนำไปวิเคราะห์โดย เจ้าพนักงานท้องถิ่นกระทรวงสิ่งแวดล้อม(Local environment ministry)
  • ผลการวิเคาระห์ทำให้ทราบของสาเหตุของ การที่แม่น้ำเปลี่ยนสีเช่นนี้เกิดจาก สารเคมีที่มีชื่อว่า Fluorescein
  • สาร Fluorescein นี้เป็นสารประกอบอินทรีย์สังเคาระห์(synthetic organic compound)ที่มีลักษณะเป็นผงแป้งสีส้ม ถึง แดงเข้ม ที่สามารถละลายได้ใน น้ำ หรือ แอลกอฮอล์ wowboom
คลังภาพ


อะไรมันจะดูน่ากลัวอย่างนี้


มันเขียวไม่เกรงใจใครจริงๆ


จะเขียวไปไหนครับ


ผงสาร Fluorescein


เมื่อนำสาร Fluorescein ไปละลายน้ำ แล้วส่องด้วยแสง UV น้ำจะกลายเป็นสีเขียวสะท้อนแสง


ภาพ แม่น้ำชิคาโก ในวัน St.Patrick แม่น้ำจะถูกย้อมไปด้วยสีเขียวอันเกิดสารในกลุ่ม Fluorescein ที่สังเคราะห์จากพืช โดยมีต้นกำเนิดมาจากคนงานท่อระบายน้ำใช้สีย้อมสีเขียวทดสอบท่อน้ำเสีย

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.odditycentral.com/news/canadas-goldstream-river-turns-green-for-the-holidays.html

รุ้งกินน้ำกลับหัว เหตุอาเพศ หรือแค่ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ (Circumzenithal arc)

รุ้งกินน้ำกลับหัว


รุ้งกลับหัว เหตุอาเพศ หรือ แค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ปกติเราจะเห็นรุ้งกินน้ำในลักษณะโค้งคว่ำ แต่เมื่อมีรุ้งกินน้ำเกิดขึ้นในลัษณะหงาย บ้างก็ว่าเป็นรางร้าย บ้างก็ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้น เรามารู้จัก รุ้งกินน้ำกลับหัว กันให้ลึกขึ้นอีกนิคดีกว่า

รายละเอียด รุ้งกินน้ำกลับหัว

  • รุ้งกินน้ำกลับหัว ไม่ใช่เหตุอาเพศอะไร เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่มีขบวนการเกิดที่แตกต่างจากรุ้งกินน้ำธรรมดา
  • รุ้งกินน้ำกลับหัว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า โค้งอาร์คเซอคัมซีนิทธัล(Circumzenithal arc มีชื่อย่อ CZA) หรือ Bravais' Arc
  • รุ้งกินน้ำกลับหัว จะมีลักษณะเป็นโค้งวงกลมไม่เต็มวง(เกิดเพียง 1 ใน 4 ของวงกลม) โดยมีจุดศูนย์กลางของรุ้งอยู่ที่จุด zenith(จุดสูงสุดของฟ้า ปกติก็อยู่กลางหัวของเรา)
  • รุ้งกินน้ำกลับหัว จะเกิดในทิศทางเดียวกับดวงอาทิตย์
  • รุ้งกินน้ำกลับหัว จะมีสีน้ำเงินอยู่ด้านในโค้ง แล้วไล่ออกมาเรื่อยๆโดยด้านนอกสุดจะเป็นสีแดง
  • รุ้งกินน้ำกลับหัว จะมีสีสันสดใสกว่ารุ้งปกติ เนื่องจากสีที่ซ้อนทับกันน้อยกว่า
  • รุ้งกินน้ำทั่วไปเกิดจากการที่แสงอาทิตย์หักเหกับละอองน้ำ แต่ รุ้งกินน้ำกลับหัว นั้นเกิดจากการที่แสงหักเหกับผลึกน้ำแข็งในเมฆ cirrus clouds โดย แสงอาทิตย์ที่วิ่งผ่าน ผลึกน้ำแข็งจะวิ่งมาในแนบราบ ผ่านด้านเรียบของผลึกน้ำแข็ง แล้วหักเหออกบริเวณข้างของปริซึมน้ำแข็ง
  • รุ้งกินน้ำกลับหัว จะเกิดเฉพาะเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นทำมุม กับแนวราบน้อยกว่า 32.2 องศา เท่านั้น เนื่องจากเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นสูงกว่า 32.2 องศาแสงที่ผ่านด้านบนของผลึกน้ำแข็งจะหักเหออกด้านล่างแทนด้านข้าง ทำให้แสงที่หักเหออกมาแทบจะไม่เกิดสี
  • รุ้งกินน้ำกลับหัว จะมีสีสันสดใสที่สุดเมื่อพระอาทิตย์ทำมุม 22 องศา 3 ลิบดา เนื่องจากเป็นมุมเบี่ยงเบต่ำสุด ของ แสงเข้าและออก
บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Circumzenithal_arc

Jules Verne จูลส์ เวิร์น ผู้บุกเบิกนิยายแนววิทยาศาสตร์

Jules Verne จูลส์ เวิร์น
Jules Verne

วันนี้โลโก้ กูเกิ้ล เปลี่ยนไปอีกแล้ว ตอนแรกเห็นเหมือนหน้าต่าง มองออกไปมีเกลียวคลื่น และปลา แถม มีคันบังโยกซะด้วยตอนแรกคิดว่า Google มีเกมส์อะไรมาให้เล่นเหมือนตอน Pacman ซะอีก แต่เมื่อคลิกเข้าไปเห็นเป็นเรื่องราวของ Jules Verne แล้วเขาคือใคร ?

รายละเอียด Jules Verne

  • จูลส์ เวิร์น(Jules Verne) คือ นักเขียนนิยายแนววิทยาศาสตร์นามอุโฆษ ยุคบุกเบิก ผู้มีจินตนาการณ์ล้ำเกินยุคที่หาตัวจับตัวยากยิ่ง แห่ง ยุค จึงทำให้เขาได้รับสมญานามว่า " บิดา แห่ง นิยายวิทยาศาสตร์ "
  • จูลส์ เวิร์น เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธุ์ 1828 (เป็นที่มาของโลโก้ กูเกิ้ล ที่เปลี่ยนไปเพื่อเป็นการรำลึกถึง จูลส์ เวิร์น ในวันนี้) เสียชีวิต วันที่ 8 มีนาคม 1905
  • นิยาย ที่สร้างชื่อของ จูลส์ เวิร์น และเป็นที่รู้จักของนักอ่านชาวไทย คือ ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์(Twenty Thousand Leagues Under the Sea) ในปี 1870 , ผจญภัย 80 วันรอบโลก(Around the World in Eighty Days) ในปี 1873
  • จูลส์ เวิร์น เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ การเดินทางในอวกาศ การเดินทางโดยเครื่องบิน หรือแม้กระทั้งการเดินทางใต้สมุทร ในยุคที่ยังไม่มีการสร้างเครื่องบิน หรือยานอวกาศ และแนวคิดที่ดูเกินจริง ในจิตนาการณ์นั้นก็กลายเป็นจริงในปัจจุบัน นั้นแสดงให้เห็นถึงจินตนาการอันบรรเจิด ของ จูลส์ เวิร์น
  • จูลส์ เวิร์น เป็น นักเขียน(ผู้แต่งคนเดียว)ที่มีผลงานถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศมากที่สุดในโลก เป็น อันดับ 3 ของโลก เป็นรองเพียงผลงานของ ดิสนีย์ และ อันดับ2 อกาธา คริสตี้ ( Agatha Christie )

โลโก้ กูเกิ้ลนี้จะมีลูกเล่นซ่อนอยู่ที่ คันโยกด้านขวามือ ที่สามารถทำการโยก ซ้าย ขวา ขึ้น ลง และในเมื่อ นิยายที่ดังที่สุดของ จูลส์ เวิร์น คือ ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ โยกซ้าย ขวา ขึ้น นั้นไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ แต่ถ้าโยกลง จะเหมือนเรากำลังดำดิ่ง ลงสู่ใต้ทะเลลึก จะเห็นปลา แมงกะพรุน และ หมึกยักษ์ ดังในภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Jules_Verne

ผ่าตัดรักษา ตาบอด ด้วย ฟัน (sees after tooth inserted into eye)

รักษาตาบอด ด้วย การแทรกฟันเข้าไปในดวงตา

เห็นว่า ตีสิบ ของเสี่ย VT จะนำเสนอเรื่อง ใช้ฟันฝังในดวงตารักษาอาการตาบอด เลยลองค้นดูว่าเขาทำกันอย่างไร วันนี้มาดูกันก่อน ตีสิบ กันซะหน่อยก็แล้วกันว่าเขาทำกันอย่างไร

รายละเอียด


  • นาย มาทีน โจนส์(Martin Jones) คนงาน วัย 42 ประสบณ์อุบัติเหตุหลอดอลูมิเนียมเหลว ระเบิดกระเด็นใส่ใบหน้า ทำให้ตาขวาของเขาบอดเมื่อ สี่ปีก่อน
  • มาทีน มีบาดแผลไหม้ 37% ทำให้เขาต้องสวมชุดพิเศษวันละ 23 ชั่วโมง ถึงแม้ศัลยแพทย์จะรักษาดวงตาขวาของเขาไว้ได้โดยไม่ต้องควักออกไป แต่มันก็สูญเสียการมองเห็นไปโดยสิ้นเชิง
  • ในครั้งแรกแพทย์เชี่ยวชาญพิเศษจาก นอร์ทิ่งแฮม ได้ใช้เซลล์ต้นกำเนิด(Stem cell) จากผู้บริจาคในการรักษา อาการตาบอดของเขา แต่การรักษาล้มเหลว
  • และหลทางสุดท้ายที่เหลืออยู่ที่จะสามารถทำให้ มาทีน กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง จำเป็นต้องใช้เทคนิคพิเศษจาก คณะแพทย์จาก the Sussex Eye Clinic ใน Brighton
  • โดย ศัลยแพทย์นามว่า Christopher Liu จาก the Sussex Eye Clinic ได้ใช้ ฟันที่ถอนออกมาตัวของ มาทีนเองที่เซลล์ยังไม่ตาย เพื่อเป็นตัวยึดเลนส์ตา กับดวงตาของเขาเอง เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ร่างกายของ มาทีนจะไม่ยอมรับ พลาสติกที่ฝังเข้าไปในดวงตา
ขั้นตอน และวิธีการผ่าตัด

  • ขั้นตอน1 แพทย์จะเลือกฟันซี่ที่เหมาะสม ที่จะนำมาใช้ในการผ่าตัด ในเคสของ มาทีน เขี้ยวบนถูกเลือกใช้ในการผ่าตัดครั้งนี้
  • ขั้นตอนที่2 ฟันที่ถูกถอนออกมาจะถูกฝ่าครึ่ง และถูกเจาะรู แล้วนำมไปปลูกถ่ายไว้ในที่เนื้อเยื่อภายในกระฟุ้งแก้ม
  • ขั้นตอนที่ 2A เนื้อเยื้อจากกระฟุ้งแก้มอีกส่วนจะถูกนำไปปลูกถ่ายไว้ที่ดวงตาเพื่อใช้เป็นแผ่นปิดทับ เป็นการล่วงหน้า 2 เดือน
  • ขั้นทตอนที่3 เมื่อมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงฟันที่นำมาปลูกถ่ายไว้ในปาก จะทำการแทรก เลนส์ตาเทียมทรงกระบอก(เลนส์ตาพลาสติก ที่มนุษย์สร้างขึ้น) เข้าไปในรูที่เจาะไว้ใน ฟัน
  • ขั้นตอนที่4 นำฟันที่ปลูกถ่ายไว้ในปากพร้อมเนื้อเยื่อ ย้ายมาปลูกถ่ายบนดวงตาข้างที่บอด แล้วใช้เนื้อเยื่อที่นำมาปลูกถ่ายไว้ล่วงหน้าในขั้นตอน2A ปิดทับ เพื่อให้ฟันยึดติดแน่นกับดวงตา
  • ขั้นตอนสุดท้าย ศัลยแพยท์จะทำการเจาะรู บนแผ่นเนื้อเยื่อเพื่อให้แสงส่องผ่านช่อง เลนส์ตาเทียม เป็นอันสิ้นสุดการผ่าตัด
บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://sallyhanreck.com/archives/1376
  • http://www.dailymail.co.uk/news/article-1197256/Blind-man-sees-wife-time-having-TOOTH-implanted-eye.html

เชื่อหรือเปล่า ญี่ปุ่น ก็มี ทะเลทราย ( Tottori Sand Dunes )

ทะเลทราย ใน ประเทศญี่ปุ่น

เมื่อดูรูป จะเชื่อหรือไม่เชื่อแต่นี้คือ ภาพจากเมืองทตโตะริ(Tottori) ฮอนซู(Honshu) ประเทศญี่ปุ่น ในภาพจะเห็นทรายสุดลูกหูลูกตา ซึ่งลักษณะทางภูมิประเทศเช่นนี้ ก็คือลักษณะของ ทะเลทราย(Desert) และทรายมากมายนี้ก็ไม่ได้เกิดจากน้ำมือของมนุษย์

รายละเอียด


  • โดยแท้จริง สิ่งที่เห็นนี้ไม่ใช่ทะเลทราย แต่มันถูกจัดเป็นเพียงเนินทรายขนาดใหญ่เท่านั้น อันเป็นผลที่เกิดจาก ลักษณะทางกายภาพของมันไม่เข้านิยามของคำว่า ทะเลทราย(Desert) เนื่องการที่สถานที่ใดจะถูกเรียกว่า Desert นั้นสถานที่นั้นจะต้องมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยน้อยกว่า 250 มิลลิเมตร/ปี แต่ เป็นที่ทราบกันดีว่าญี่ปุ่นมีลักษณะอากาศฝนตกชุก และชื้น และที่เมือง ทตโตะริ นี้ก็มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 250 มม./ปี
  • ทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า เนินทรายแห่งทตโตะนิ(Tottori sand dunes)
  • เนินทรายแห่งทตโตะนิ ทอดตัวยาวตามชายฝั่งทะเลในเมือง ทตโนะนิ โดยมีความกว้างวัดจากเหนือจรดใต้ได้ 2 กิโลเมตร มีความยาววัดจากตะวันออกจรดตะวันตกวัดได้ 16 กิโลเมตร
  • แน่นอนมันมีลักษณะอากาศที่โหดร้าย ในเวลากลางวันอุณหภูมิอาจพุ่งขึ้นสูงถึง 60 - 65 องศาเซลเซีนส
  • เนินทรายที่สูงที่สุดมีความสูงถึง 90 เมตร และทำให้มันเป็นชื่นชอบของเหล่านักเล่น บอร์ด สไลค์ลงมาจากเนินทราย
  • เนินทรายทตโตะนิ นี้มีอายุกว่า 1 แสนปี โดยถือกำเนิดขึ้นมาจากตะกอนทรายจากภูเขาChukogu ที่ถูกพัดพามาตามแม่น้ำ Sendai ลงมาสะสมในทะเล และถูกกระแสน้ำ และลมทะเลพัดพาตะกอนเหล่านั้นขึ้นมาสะสมบนชายหาด ทีละเล็กทีละน้อยจนก่อเกิดเป็น เนินทรายแห่งทตโตะนิ ในที่สุด
คลังภาพ เนินทราย แห่ง ทตโตะนิ


นั่งอยู่บนยอดเนินทราย รับ ลมชมวิวสบายใจไปเลย

จุดเล็กคือเหล่านักท่องเที่ยว ที่ เดินทางมาชม เินินทรายแห่งทตโตะนิ

ดูอีกมุมมันก็เหมือนทะเลทราย ต่างกันก็เพียงปริมาณน้ำฝนเท่านั้นเอง

บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.odditycentral.com/pics/tottori-sand-dunes-japans-unique-desert-formation.html
  • http://en.wikipedia.org/wiki/Tottori_Sand_Dunes