ปรากฏการณ์ธรรมชาติ วงกลมปริศนา แห่ง ทะเลสาบไบคาล ( Ice Circle in Bilkal Lake )

ปรากฏการณ์ธรรมชาติ วงกลมปริศนา แห่ง ทะเลสาบไบคาล


Baikal Lake ทะเลสาบไบคาล เป็น ทะเลสาบในร่องเขา และถือว่าเป็นทะเลสาบน้ำจืด ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก (ในเชิงปริมาตร) และยังเป็นทะเลสาบน้ำจืด ที่ ลึกที่สุดในโลก ด้วยความลึกกว่า 1,600 เมตร และยังเป็นทะเลสาบที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ด้วยอายุกว่า 25 ถึง 30 ล้านปี ทำให้มันมีชั้นตะกอนด้านล่างหนากว่า 6,900 เมตร แต่ สิ่งที่แปลกประหลาด แห่งทะเลสาบไบคาล คือ วงกลมน้ำแข็งปริศนา

รายละเอียดเกี่ยวกับ วงกลมน้ำแข็งปริศนา

  • วงกลมน้ำแข็งปริศนานี้ ถูกค้นพบโดย นักอวกาศ ที่ถ่ายจากสถานีอวกาศนานาชาติ ที่อยู่สูงจากโลกกว่า 350 กิโลเมตร
  • วงกลมน้ำแข็ง นี้ ปรากฏขึ้นที่ทะเลสาบไบคาล ใน ไซบีเรีย จำนวน 2 จุด โดย จุดแรกปรากฏบริเวณทางใต้ใกล้ขอบทะเลสาบ ส่วนอีกวงปรากฏบริเวณตอนกลางของทะเลสาบ
  • วงกลมน้ำแข็งนี้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 กิโลเมตร
  • วงกลมน้ำแข็งนี้ปรากฏครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 เมษายน จนถึง 27 เมษายน 2009 และหายไปเมื่อน้ำแข็งในทะเลสาบละลาย
  • นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่า วงกลมน้ำแข็งนี้เกิดจาก การปะทุของกระแสน้ำอุ่น ขึ้นมายังด้านบน น้ำอุ่นที่ปะทุขึ้นมาจะละลายน้ำแข็งให้บางลง น้ำแข็งส่วนที่บางลงจะเป็นเป็นสีเข้ม
  • แต่นักวิทยาศาสตร์ ยังไม่สามารถอธิบายได้ถึงแหล่งที่มา ของ แหล่ง ความร้อนที่ทำให้เกิดการปะทุของกระแสน้ำอุ่น

ตำแหน่งที่ลูกศรแดงชี้ คือ จุดที่เกิด วงกลมปริศนา แห่ง ทะเลสาบไบคาล

ข้อมูลอ้างอิง วงกลมน้ำแข็งปริศนา แห่ง ทะเลสาบไบคาล

http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1188879/Mysterious-ice-circles-remote-Siberian-lake-baffle-scientists.html

ทฤษฏี มนุษย์ต่างดาว เทพผู้พิทักษ์โลก แห่ง ทังกัสก้า ( Tunguska )

ทฤษฏี มนุษย์ต่างดาว คือ เทพผู้พิทักษ์โลก แห่ง ทังกัสก้า

Tunguska ทังกัสก้า เป็นหนึ่งในสถานที่ แห่ง ปริศนาการระเบิด ในป่าลึกของไซบีเรีย มีผู้ที่พยายามอธิบายปรากฏการณ์นี้มากมาย หลากหลายทฤษฎี ทั้งเกิดจากการระเบิดของอุกกาบาต ทั้งเกิดจากหลุมดำขนาดเล็ก ทั้งเกิดจากอนุภาคต้านสสาร(Anti-Matter) จากนอกโลก ทั้งจากการทดลองอาวุธ แต่ เมื่อประมาณปี 2009 มีผู้เสนอทฤษฎีที่แปลก ประหลาด น่าเหลือเชื่อ อย่าง ทฤษฎีเทพพิทักษ์จากต่างดาว

รายละเอียดเกี่ยวกับ ทฤษฎีเทพพิทักษ์จากต่างดาว แห่ง ทังกัสก้า

  • โลกของเรานั้นมีระบบป้องกันตัวจาก การโจมตีของเหล่า วัตถุจากนอกโลก ก็คือชั้นบรรยากาศ ที่จะคอยเสียดสีกับ เหล่าอุกกาบาต จนเกิดการลุกไหม้ เป็นจุลในชั้นบรรยากาศก่อนที่จะปะทะโลกของเรา
  • แต่สำหรับเหตุการณ์ที่ ทังกัสก้า ใน ไซบีเรีย นั้นแตกต่างออกไปเนื่องจาก อุกาบาต นั้นมีขนาดใหญ่โต ประมาณกันว่ามีขนาด 5-10 กิโลเมตร ใหญ่เกินกว่าที่ชั้นบรรยากาศของโลกจะรับมือไหว
  • แต่สิ่งที่ประหลาดยิ่งกว่า คือ อุกกาบาต นั้นเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง กลางอากาศ ก่อนที่จะปะทะกับโลก
  • มีการคาดการณ์ความรุนแรงของการระเบิด ว่า เทียบเท่า ระเบิด TNT 5-30 เมกะตัน (ซึ่งการประมาณในขั้นสูงนั้น อนุภาคการระเบิดนั้นรุนแรงกว่าระเบิดนิวเครียที่ทิ้งที่ ฮิโรซิม่า กว่า 1000 ลูก )
  • การระเบิดทั้งให้ต้นไม้กว่า 80 ล้านต้น ในอาณาบริเวณกว่า 100 ตารางไมล์ ลูกทำลายลง
  • ด็อกเตอร์ ยูริ เล็ปวิน ( Dr Yuri Labvin ) แห่ง สถาบันปรากฏการณ์อวกาศทังกัสก้า( Tunguska Spatial Phenomenon Foundation ) ได้เปิดเผยการค้นพบ แผ่นผลึกควอตซ์ที่มีสัญลักษณ์ปรากฏบนแผ่นผลึกควอตซ์ ที่อ้างว่าเป็น เศษชิ้นส่วนของแผงควบคุมจานผี(UFO)
  • ด็อกเตอร์ ยูริ อ้างว่าปัจจุบัน มนุษย์เรายังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถ พิมพ์ลาย หรือ สัญลักษณ์ลงบนผลึกควอตซ์
  • ด็อกเตอร์ ยูริ ว่ามนุษย์ต่างดาวได้ขับยานมาขวาง อุกกาบาตก่อนที่จะปะทะพื้นโลก หรือ บางทีอาจยิงอาวุธทำลายล้างสูงเพื่อทำลายอุกกาบาต แต่เกิดความผิดพลาด ยานบินของตนเองเกิดถูกทำลายไปด้วย
คลังภาพ ทฤษฏี มนุษย์ต่างดาว เทพผู้พิทักษ์โลก แห่ง ทังกัสก้า


แผนที่ สถานที่เกิดเหตุ ทังกัสก้า ใน ไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย


สภาพที่ไกลออกไป จากจุดระเบิด จะเห็นต้นไม้ล้ม เนื่องจากคลื่นช็อค


แผ่นผลึกควอตซ์ ที่ ด็อกเตอร์ ยูริ อ้างว่ามีการค้นพบที่ ทังกัสก้า และกล่าวอ้างว่าเป็นด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์ในปัจจุบันไม่สามารถสร้างลวดลายดังกล่าวให้ปรากฏบน แผ่นผลึกควอตซ์
(หมายเหตุภาพชุดอาจเป็นภาพที่แต่งขึ้น หรือ ภาพปลอม)


ภาพแบบเจาะซูมให้เห็นลวดลาย บนแผ่นผลึกควอตซ์ ที่ ด็อกเตอร์ยูริ คาดว่าเป็น แผงควบคุมของ UFO
(หมายเหตุภาพชุดอาจเป็นภาพที่แต่งขึ้น หรือ ภาพปลอม)


ภาพแบบเจาะซูมให้เห็นลวดลาย บนแผ่นผลึกควอตซ์ ที่ ด็อกเตอร์ยูริ ค้นพบที่ ทังกัสก้า และ เป็นหลักฐานสำคัญ แห่ง ทฤษฏี มนุษย์ต่างดาว เทพผู้พิทักษ์โลก แห่ง ทังกัสก้า
(หมายเหตุภาพชุดอาจเป็นภาพที่แต่งขึ้น หรือ ภาพปลอม)

ข้อมูลอ้างอิง ทฤษฏี มนุษย์ต่างดาว เทพผู้พิทักษ์โลก แห่ง ทังกัสก้า

อ้างอิงในส่วนเนื้อหา


อ้างอิงในส่วนเนื้อหา และรูปภาพบางส่วน


อ้างอิงในส่วนเนื้อหา


อ้างอิงในส่วนรูปของ แผงควบคุมแผ่นผลึกควอตซ์

สัตว์ประหลาด จาก ทะเลลึก หรือ เอเลี่ยน กันแน่ ( Monster or Alien )

สัตว์ประหลาด จาก ทะเลลึก หรือ เอเลี่ยน กันแน่


Monster or Alien สัตว์ประหลาด หรือ เอเลี่ยน เมื่อได้เห็นภาพที่จั่วหัวนี้หลายคนคงมีความคิดว่ามันตัวอะไร ของมัน ตัวใหญ่ๆ แถมเป็นท่อนยาวๆ ทั่วทั้งร่างกายมีหนวดยุ่บยั่บ มาเกยตื้นอยู่ที่ชายหาด

เปิดเผย สิ่งมีชีวิตประหลาดนี้คืออะไร?

  • สิ่งมีชีวิตประหลาดในภาพนี้ถูกพบมาเกยตื้นที่อ่าว Oxwich ใน Gower Peninsula แคว้นเวลส์ (Wales)
  • มันมีความยาวประมาณ 1.8 เมตร มีลักษณะเป็นท่อนยาว มีหนวดมีลักษณะเป็นงวงอ่อนนุ่ม ยืดหดได้ แกว่งไปมา ปลายงวงมีเปลือกแข็งคล้ายเปลือกหอย แลดูเหมือนสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก หรือ สัตว์ประหลาดจากทะเลลึก ก็ไม่ปาน
  • แต่แท้จริงแล้ว มันคือ เพรียงคอห่าน (Goose Barnacles) หรือ เพรียงก้าน จำนวนมากที่อาศัยอยู่รวมกันโดยเกาะอยู่บนท่อนซุงที่ลอยอยู่ในทะล
  • ที่ถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นจากสภาพอากาศที่เลวร้าย ที่ เรียกว่า Jet Stream เมื่อเดือนที่ผ่านมาที่ได้พัดพา ท่อนซุงที่มีเพรียงคอห่านเกาะอยู่จากกลางทะเลเข้ามาสู่ชายหาด
  • เพรียงคอห่าน จะอาศัยอยู่ในน้ำทะเลที่มีการเคลื่อนที่ ไม่หยุดนิ่ง โดยยึดติดแน่นร่างกายไว้กับพื้น หรือวัตถุ ในทะเลด้วยงวง โดยจะยืดงวงที่ส่วนปลายมีเปลือกที่มีเปลือกแข็งคล้ายหอย ปลายเปลือกจะมีหนวดฝอยๆที่ใช้กรองน้ำทะเลเพื่อแยก แพลงก์ตอน (plankton) ในน้ำทะเลเพื่อจับกินเป็นอาหาร
  • สำหรับชาวสเปน และโปรตุเกส เพรียงคอห่านคืออาหารราคาแพง เลิศรส ที่จะปรุงโดยการนึ่งด้วยไอน้ำร้อน และเสริฟพร้อม เปลือก ที่รู้จักกันในชื่อเมนู “Percebes”
คลังภาพ เพรียงคอห่าน



เมนู เพรียงคอห่าน อาหารเลิศรสราคาแพงจาก สเปน นำไปปรุงโดยการนึ่งกินคู่กับ ไวน์ขาว


เพรียงคอห่านที่เกาะอยู่บนท่อนซุงยาว 1.8 เมตร ที่ถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นที่ อ่าว Oxwich ใน Gower Peninsula แคว้นเวลส์ หลายพันตัว จากสภาพอากาศที่แปรปวน


ภาพนี้ยอดนิยมมากในเว็บ และ ในบอร์ด ต่างๆของเมืองไทย อ้างว่าเป็นสัตว์ประหลาด กันต่างๆนานา
แต่มันก็คือเพรียงคอห่าน ที่ถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นที่ หาดในประเทศ นิวซีแลนด์ ที่เกาะบนเชือก หรือ ทุ่น หรือ ท่ออ่อน อะไรซักอย่าง


ภาพ เพรียงคอห่าน กำลังกรองน้ำทะเลเพื่อหา แพลงก์ตอน เป็นอาหาร
ปริศนาคลี่คลายไปอีก 1 คดี กับ wowboom
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

อ้างอิงในส่วนเนื้อหา และรูปภาพบางส่วน


อ้างอิงในส่วนรูปภาพ เพรียงคอห่านจากนิวซีแลนด์


อ้างอิงในส่วนรูปภาพ เพรียงคอห่านหาอาหาร

ทำไม ต้อง ผู้ดีแปดสาแหรก จะเป็น 5 หรือ 6 หรือ 7 ได้หรือเปล่า

ทำไม ผู้ดีแปดสาแหรก แล้วสาแหรก คืออะไร กับความหมายที่ผิดเพี้ยนไป
ทำไม ผู้ดีแปดสาแหรก

ผู้ดี แปดสาแหรก ก่อนจะทำความเข้าใจสำนวนนี้ จะต้องเข้าใจคำว่า " สาแหรก " กันก่อนจึงจะรู้ว่า ทำไม ผู้ดีจึงต้องแปดแหรก จะเป็น 5 , 6 , 7 ได้หรือเปล่า
ภาพด้านบนเป็นแผนผังราชวงค์ของ Mary Queen of Scots ที่เป็นต้นตระกูลสายตรงของราชวงศ์อังกฤษ

ความ หมายของคำว่า " สาแหรก "

  • สาแหรกเป็นเครื่องใช้ที่ สำคัญของชาวบ้านร้านตลาดในอดีต ที่ไว้สำหรับ แบกหาม สิ่งของ มีลักษณะดังภาพด้านล่าง
  • สาแหรก เป็น เครื่องใช้ที่ทำจากหวาย มี 4 สาย ด้านบนรวบปลายหวายเป็นหูสำหรับสอดไม้คาน ด้านล่างขัดกันเป็นสี่เหลี่ยมสำหรับวางกระจาด มี 2 ชุด เพื่อให้สมดุลย์เวลาบากหาม
  • ฉะนั้นคนโบราณจึงใช้ลักษณะของ สาแหรก ในการเปรียบเทียบผู้ดีโดยเนื้อแท้จะต้องมีโคตรเง้า ทั้งหมดเป็นผู้ดี โดย ปู่ทวด ย่าทวด ปู่ ย่า ตาทวด ยายทวด ตา ยาย รวมทั้งหมด 8 คน จะต้องเป็นผู้ดีทั้งหมด จึงจะถือว่าเป็นผู้ดี แปด สาแหรก
  • แต่เดิม คำว่า ผู้ดีแปดสาแหรก มีความหมายว่า ผู้มีเชื้อสายมาจากผู้ดีหลายชั่วอายุคน
  • แต่ ในปัจจุบัน ความหมายได้ผิดเพี้ยนไป โดยมีความหมายในการพูดเสียดสี ถึงการทำตัวดัดจริตเป็นผู้ดี ซึ่งเป็นผลจาก คำว่า ผู้ดีแปดสาแหรกเก้าไม้คาน ซึ่ง ไม้คานหมายถึงคนที่ไม่ใช้ผู้ดีแต่สอดเข้ามาอยากจะเป็นผู้ดี
สาแหรก
ภาพ สาแหรก ที่่จะเห็นแม่ค้าหาบเร่ใช้กัน และปัจจุบันแทบจะไม่พบเห็นแล้ว

ข้อมูล อ้างอิง ทำไม ผู้ดีแปดสาแหรก



กำเนิด ดาวพฤหัสบดี ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล (Jupiter)

กำเนิด ดาวพฤหัสบดี ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล


Jupiter ดาวพฤหัสบดี เป็นที่รู้กันตั้งแต่เราเรียนวิทยาศาสตร์ กันตั้งแต่เด็กแล้วว่า มันคือดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล ของ เรา และนักวิทยาศาสตร์ก็มีความเชื่อว่า ขนาดอันใหญ่โตของมันนั้นเกิดจากการที่มัน "เขมือบ" ดาวดวงอื่นเข้าไป

รายละเอียดเกี่ยวกับ ดาวพฤหัสบดี

  • ดาวพฤหัสบดี เป็น ดาวเคราะห์แก๊ส ขนาดใหญ่ แต่มีแกนกลาง(Core)ที่มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับ ขนาดของดาวพฤหัสบดีเอง และในชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี ยังพบว่าเป็นก๊าซที่มีความหนาแน่นสูงมาก
  • เหล่านักวิทยาศาสตร์ ต่างต้องการไขปริศนาดังกล่าวว่า ทำไม ดาวพฤหัสบดี จึงมีรูปแบบของดาว ที่แตกต่างไปจากโลกอย่างสิ้นเชิง เช่นนี้
  • นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง(Peking University) ได้เสนอแบบจำลองรูปแบบการกำเนิดดาวพฤหัสบดี อย่างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้นั้นเกิดจากการพุ่งชน ของ ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่กว่าโลก 10 เท่า กับดาวพฤหัสบดีในยุคแรก
  • แบบจำลองแสดงให้เห็นว่าดาวเคราะห์ที่มีโครงสร้างเป็นหิน ได้พุ่งผ่านชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี ดาวเคราะห์ดังกล่าวถูกบีบอัดจนลีบแบน จากชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี และพุ่งเข้าสู่แกนของดาวพฤหัสบดี
  • ผลจาการพุ่งชนทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ทำให้ธาตุหนัก เช่น เหล็ก ในแกนกลางของดาวพฤหัสบดี เกิดหลอมละลาย และระเหยเป็นไอ ผสม กับ ก๊าซไฮโดรเจน และ ฮีเลียม ในชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี
  • จากการพุ่งชนครั้งใหญ่ดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแบบจำลองนี้ สามารถอธิบายได้ว่าทำไม ดาวพฤหัสบดีจึงมีแกนกลางขนาดเล็ก อันเป็นผลจากการที่ธาตุในแกนกลางได้กลายเป็นไอ สู่ ชั้นบรรยากาศ และนั้นเป็นผลให้ชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี มีความหนาแน่นสูงมาก
  • โลกของเรา และดาวจันทร์ ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการพุ่งชนกันครั้งใหญ่ ระหว่างดาวเคาระห์ขนาดเท่าดาวอังคาร และดาวศุกร์ การพุ่งชนก่อให้เกิดการระเบิด และอุณหภูมิสูงถึง 7000 องศาเซลเซียส ใช้เวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง เศษซากจากการพุ่งชนก็หลอมรวมกันเป็น โลก ส่วนเศษซากที่กระเด็นออกมาก็หลอมรวมกันเป็น ดวงจันทร์ ดังที่เห็นทุกวันนี้
ข้อมูลอ้างอิง กำเนิด ดาวพฤหัสบดี

ขอบคุณทุกท่านครับ ได้รางวัลจากการประกวด Blog ครับ

ต้องกล่าวคำขอบคุณ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านที่ร่วมโหวต ให้ wowboom ในการประกวด Blog ในงาน Thailand Blog Awards 2010 วันนี้เข้าไปเช็คผลดูเรียบร้อยแล้ว wowboom ได้รับรางวัลในหมวด วิทยาศาสตร์ แต่ไม่รู้ว่า ที่ 1 หรือ ที่ 2 หรือ ที่ 3 เนื่องจาก ผลจะประกาศในงาน ณ ลานน้ำพุ ชั้น G ห้างเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว วันที่ 26 สิงหาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 19:47 - 20:47 น. กันอีกครั้ง

แต่เสียดายที่ Admin DEN ออกมางานทำงานภาคสนาม ที่ ชุมพร จึงเดินทางไปลุ้น และรับรางวัลด้วยตัวเองไม่ได้ จะกลับ กรุงเทพก็ 11 กันยายน เสียดายจัง.....

ใครไปเที่ยวเซ็นทรัล ลาดพร้าว ช่วงเวลาดังกล่าวก็ไปร่วมลุ้นแทนกันได้นะครับ แล้วมากระซิบดังๆ ให้ Admin DEN ฟังด้วยนะครับ

ขอบคุณทุกแรงใจด้วยนะครับ : )

กล้องถ่ายรูป 3 มิติ ตัวแรกของโลก ( Fuji FinePix Real 3D W3 )

กล้องถ่ายรูป 3 มิติ ตัวแรกของโลก


Fiji Film ฟูจิฟิล์ม ได้ส่งกล้องถ่ายรูป 3 มิติ ตัวแรกที่คุณสามารถมองเห็นภาพเด้งออกมาจากหน้าจอกล้องดิจิตอล หรือแม้แต่จากกระดาษที่พิมพ์ภาพก็ไม่เว้น โดยที่คุณไม่ต้องใส่แว่นตาสามมิติให้ยุ่งยากอีกต่อไป

รายละเอียด กล้องถ่ายรูป 3 มิติ ตัวแรกของโลก

  • กล้องถ่ายภาพ 3 มิติ ตัวแรกของโลก ตัวนี้เป็นกล้องยี่ห้อ ฟูจิ(Fuji) รุ่น FinePix Real 3D W3
  • ภาพที่ถ่าย และพิมพ์ลงบนกระดาษชนิดพิเศษ ภาพที่ได้จะเสมือนเด้งออกมาจากกระดาษ โดยที่ไม่ต้องสวมใส่แว่นตาสามมิติให้ยุ่งยากอีกต่อไป
  • กล้องนี้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า Lenticular ที่ทำการถ่ายภาพด้วย เลนส์ 2 เลนส์ โดยที่เลนส์แต่ละข้างเปรียบเสมือนเป็นตาซ้าย และตาขวา ที่แยกออกจากกัน แล้วนำมาบันทึกลงบนกระดาษชนิดพิเศษที่มีพื้นผิวมีลักษณะเป็นริ้วๆ ซึ่งจะทำให้ภาพที่ได้แลดูมีมิติตื้นลึกขึ้น
  • เทคนิคนี้ถูกคิดค้นมาตั้งแต่ในช่วงปี 1940 ซึ่งนำมาใช้กับ Novelty Item , สติกเกอร์ และ Two-frame animation มาตั้งนานแล้ว
  • แต่เนื่องจากปัจจุบันกระแส สามมิติ ทั้งภาพยนร์ ทีวี ฯลฯ นั้นแรงมากจนทาง ฟูจิ จึงต้องนำเทคโนโลยี่นี้มาปัดฝุ่นใหม่ อีกครั้ง
  • โดยทาง ฟูจิฟิล์มได้ตั้งราคาขายกล้อง ตัวนี้ไว้ที่ประมาณ 21,000 บาท (400 ปอนด์)
คลังภาพ กล้องถ่ายรูป 3 มิติ



ภาพหน้าตากล้อง ฟูจิ(Fuji) รุ่น FinePix Real 3D W3 ด้านหน้า


เมื่อภาพที่ถ่ายได้ถูกนำมาพิมพ์บนกระดาษชนิดพิเศษของทาง ฟูจิก็จะทำให้ภาพที่ได้เกิดเป็นภาพที่ลวงตาให้เห็นเสมือนมีมิติ ความตื้นลึกเพิ่มมากขึ้นกว่าธรรมดา

ข้อมูลอ้างอิง กล้องถ่ายรูปสามมิติ

http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1303780/Fujifilm-launches-worlds-3D-camera-printing-service.html

พัฒนาการ ของ โลโก้ เชลล์ ( Logo Shell )

พัฒนาการ ของ โลโก้ เชลล์


Logo Shell โลโก้เชลล์ ตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งแรกของโลโก้นี้ในช่วงปี 1901 จากโลโก้ที่เป็นรูปหอยที่เหมือนจริง ของ หอย mussel ได้มีการปรับเปลี่ยนและเปลี่ยนแปลงมากว่า 9 ครั้ง โดยการปรับเปลี่ยนนั้นมีทั้งมากบ้างน้อยบ้าง แต่ทั้งหลายทั้งปวงยังคงไว้ซึ่งสัญลักษณ์ หอย ไว้อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง

พัฒนาการ ของ โลโก้เชลล์ จากอดีตถึงปัจจุับัน

  • 1891 จากธุรกิจส่งน้ำมันก๊าชถังสีแดง ไปตะวันออกไกล ของ มาร์คัส ซามูเอล(Marcus Samuel) ที่มีรากฐานมาจากธุรกิจนำเข้าของเก่า ของแปลก และเปลือกหอย เพื่อนำมาประดับกล่องใส่เครื่องประดับเล็กๆ( Trinket Box)
  • 1897 ซามูเอล ได้มีการจัดตั้งบริษัท Shell Transport and Trading เพื่อส่ง และขายน้ำมันจากตะวันออกไกล
  • 1901 เป็นปีแรกที่มีการปรากฏตัวของโลโก้เชลล์ ที่เป็นรูปหอย แต่หอยในช่วงแรกเป็นรูปหอย Musse ในรูปแบบเหมือนจริง ที่มองมาจากด้านปากหอย

  • 1904 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโลโก้เชลล์เป็นครั้งแรก โดยเปลี่ยนจากหอย Mussel เป็นหอยพัด(Pacten) ด้วยเหตุผลที่ไม่เิปิดเผย
  • 1907 เมื่อบริษัท Royal Dutch Petroleum ได้ควบรวมกิจการกับ บริษัท Shell Transport and Trading ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น New Royal Dutch/Shell Group. และเปลี่ยนโลโก้เป็นหอยพัด(Pacten) ดังที่เห็นถึงปัจจุบัน
  • 1971 โลโก้เชลล์ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งเมื่อได้รับการออกแบบโดย Raymond Loewy นักออกแบบโลโก้ระดับโลก ที่ออกแบบโลโก้ให้แก่ทั้ง BP และ Exxon

และหลังจากปี 1999 เชลล์ก็มั่นใจในความเป็นเชลล์ในโลโก้ของตน ว่าสามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั้งหลาย จึงได้ตัด ตัวอักษรว่า "Shell" ออกจาดโลโก้
เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย ทำไม่โลโก้เชลล์ จึงใช้สี เหลือง แดง
  • การเลือกใช้สี เหลืองแดงนั้นไม่แน่ชัดนัก แต่มีอยู่ 2 กระแสคือ
  • กระแสแรก คือ สีแดงนั้นมาจากสีถังน้ำมันก๊าซที่ ซามูแอล ใช้ในยุคก่อตั้งบริษัท
  • กระแสที่สองมาจาก เมื่อปี 1915 เชลล์มีการเปิดปั๊มน้ำมันแห่งแรกที่ รัฐแคลิฟอร์เนีย (California) ทางปั๊มได้ร้องขอให้ปรับแต่งโลโก้ให้มีสีสันดึงดูดใจหน่อย ซึ่งแคลิฟอร์เนีย เป็นรัฐที่มีชาวสเปนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้นำสีเหลือง แดง ที่เป็นสีของธงชาติสเปนมาใช้

ธงชาติสเปนที่มีสีโทนหลักเป็น เหลือง แดง
บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง พัฒนาการ ของ โลโก้ เชลล์ ( Logo Shell )



โบสถ์ ใหญ่ที่สุดในโลก (WORLD'S BIGGEST CHURCH )

โบสถ์ ใหญ่ที่สุดในโลก
โบสถ์ ใหญ่ที่สุดในโลก

St. Peter's Basilica มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ บาซิลิกา คือ โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความจุมากกว่า 6 หมื่นคน

รายละเอียดเกี่ยวกับ โบสถ์ ใหญ่ที่สุดในโลก

  • โบสถ์เซนต์ปีเตอร์บาซิลิกา ตั้งอยู่ใน นครรัฐวาติกัน(ประเทศ ที่ เล็กที่สุดในโลก)
  • โบสถ์เซนต์ปีเตอร์บาซิลิกา เป็นโบสถ์ ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก ในแง่ของพื้นที่ภายในโบสถ์ ซึ่งสามารถรองรับผู้คนได้มากกว่า 60,000 คน
  • โบสถ์เซนต์ปีเตอร์บาซิลิกา เป็น โบสถ์ที่ก่อสร้างใหม่ทับ โบสถ์เดิม โดยโบสถ์ใหม่ก่อสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 18 พฤศจิกายน 1626
  • โบสถ์เซนต์ปีเตอร์บาซิลิกา ก่อสร้างเพื่อเป็นสถานที่ฝังศพของเซนต์ปีเตอร์ 1 ใน 12 สาวกของพระเยซู
  • หินอ่อนที่ใช้ในการก่อสร้างโบสถ์เซนปีเตอร์ นั้นได้มาจาก หินอ่อนของโคลอสเซียม (หลายคนที่สงสัยว่าทำไม โคลอสเซียม จึงดูแหว่งๆ)
โบสถ์ ใหญ่ที่สุดในโลก
ภาพถายในบสถ์เซนต์ปีเตอร์บาซิลิกา

ข้อมูลอ้างอิง โบสถ์ ใหญ่ที่สุดในโลก


ค้นพบรอยเท้า สิ่งมีชีวิตที่คลาน ขึ้นแผ่นดิน เก่าแก่ที่สุดในโลก (First Footprints)

ค้นพบรอยเท้า สิ่งมีชีวิตที่คลาน ขึ้นแผ่นดิน เก่าแก่ที่สุดในโลก


Footprints รอยเท้านี้เป็นรอยเท้า ของสิ่งมีชีวิต ทีขาดหายไปของ(Missing Link) ของการวิวัฒนาการจากทฤษฏีที่ส่งสิ่งมีชีวิตบนบก มีวิวัฒนาการมาจากปลา รอยเท้านี้มีอายุกว่า 395 ล้านปี รอยเท้านี้เป็นของสิ่งมีชีวิตที่มีความยาวประมาณ 2.4 เมตร เมื่อประเมินจากรอยเท้าที่ปรากฏ

ข้อมูลอ้างอิง ค้นพบรอยเท้า สิ่งมีชีวิตที่คลาน ขึ้นแผ่นดิน เก่าแก่ที่สุดในโลก


ปู อะไรเอ่ย สตอเบอรี่ ที่สุด (Strawberry Crab)

ปู อะไรเอ่ย สตอเบอรี่ ที่สุด
ปู อะไรเอ่ย สตอเบอรี่ ที่สุด (Strawberry Crab)

Crab ปู อะไรเอ่ย สตอเบอรี่ ที่สุดก็ต้องปูในรูปนี้ซิ แต่มันชื่ออะไรยังไม่ทราบเนื่องจากมันเป็นปู ชนิดใหม่ที่พึ่งมีการค้นพบ

รายละเอียด เกี่ยวกับ ปู สตอเบอรี่ พันธุ์ใหม่

  • เนื่องจากลักษณะเด่น ที่มีสีชมพู มีจุดสีขาวบนกระดอง ทำให้มันมีลักษณะเหมือน ผล สตอเบอรี่
  • ค้นพบโดยชีววิทยา ( Biologist ) นามว่า Ho Ping-ho จากไต้หวัน จากมหาวิทยาลัย National Taiwan Ocean University
  • ค้นพบที่บริเวณ ชายฝั่งทางใต้ของประเทศ ไต้หวัน ( Taiwan ) ที่อุทยานแห่งชาติ Kenting National Park
  • ปูสายพันธุ์นี้มีลักษณะคล้ายกับ ปูที่พบใน ฮาวาย(Hawaii) โปลีเนเซีย(Polynesia) และประเทศมอริเชียส(Mauritius) แต่มีลักษณะเด่นคือ มีกระดองเหมือนเปลือกหอย เปลือกมีความกว้าง 2.5 เซ็นติเมตร
บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง ปู อะไรเอ่ย สตอเบอรี่ ที่สุด (Strawberry Crab)

เข็มขัดยกกระชับ บั้นท้าย ( ก้น ) Biniki

เข็มขัดยกกระชับ บั้นท้าย ( ก้น ) Biniki


  • http://www.dailymail.co.uk/femail/article-1260340/Bottoms-The-bumkini-promises-transform-derriere.html

แมวประหลาด มี สี่หู ( Amazing cat with FOUR ears )

แมวประหลาด มี 4หู


Yoda โยดา คือชื่อของน้องแมวสีเทาดำตัวนี้ แน่นอนเจ้าของตั้งใจตั้งชื่อของมันให้เหมือน ปรามาจารย์โยดา จาก มหากาพย์ ภาพยนร์เรื่อง STAR WARS อันเนื่องมาจากใบหูขนาดใหญ่


รายละเอียดเกี่ยวกับ แมวสี่หู ชื่อ โยดา

  • เจ้าของ ของ โยดา คือ Valerie และ เท็ด ร็อค(Ted Rock) ได้ไปพบมันเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ที่ บาร์ ใกล้ๆบ้านในชิคาโก
  • เขาพบว่ามีคนกำลังหาบ้านให้ ลูกแมว คอกใหญ่อยู่
  • เมื่อทั้งคู่เข้าไปดูก็ เกิดสดุดใจกับ เจ้าโยดา อย่างมาก ก็มันมีสี่หู จึงได้สอบถามเจ้าของเดิมว่า พวกเขาสามารถรับ โยดา ไปเลี้ยงดูได้หรือไม่ เจ้าของเดิมตกลง โยดา จึงได้มันมาเป็นสมาชิกในครอบครัว
  • หลังจากรับ โยดา มาเลี้ยงได้ 8 อาทิตย์ Valerie ตัดสินใจนำ โยดา ไปตรวจสัตวแพทย์
  • หมอเองก็รู้สึกประหลาดใจ กับ สิ่งที่ได้เห็น และยังบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นแมว สี่หู คุณหมอเองรีบลงมือค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ทันที และพบว่าในเยอรมัน ก็เคยมีแมว 4 หู
  • โยดา มีพฤติกรรม และได้ยินเสียง เหมือนแมวปกติ โยดาไม่เคยกลัวอะไร ค่อนข้างชอบเข้าสังคม ไม่รักสันโดษเหมือนแมวทั่วไป
  • โยดา นั้นชอบขนมปังเป็นชีวิตจิตใจ จนฉันไม่สามารถวางขนนปังไว้ได้เลย เนื่องจากมันจะขโมยไปกินเสียเองทุกครั้งไป
  • โยดา มีใบหู 2 อันซ้อนกัน ทั้ง 2 ข้าง มีลักษณะสมบูรณ์
แมวสี่หู ชื่อ ลูนทิค


ตัวนี้เป็นลูกแมววัย 3 เดือน ชื่อว่าลูนทิค Luntik ที่อาศัยอยู่ในอู่ซ่อมรถ ในเมือง Vladivostok ประเทศ รัสเซีย แต่ ฟอร์มของหู จะไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าของ โยดา

ข้อมูลอ้างอิง แมวสี่หู


ชนเผ่า มายา กับ ปริศนา หน้ากาก ( Mayan Mask )

ชนเผ่า มายา กับ ปริศนา หน้ากาก

Mayan Mask หน้ากากที่วิจิตรพิศดาร งดงาม ปน สยอง นี้เป็นผลงาน ของ ชนเผ่ามายา มันถูกสร้างขึ้นมาพื่อวัตถุประสงค์ และวัสดุ อันหลากหลาย แต่ มันก็คงมีปริศนาที่รอวันค้นพบ

รายละเอียดเกี่ยวกับ หน้ากากมายา

  • หน้ากากมายา นี้ ถูกสร้างด้วย หยก หิน ไม้ หรืออาจจะประกอบวัสดุที่หลากหลายร่วมกัน
  • หน้ากากมายา นี้ มีการค้นพบจากสุสานของชาวมายา โดยมีบางศพที่สวมใส่หน้ากากนี้ประดับใบหน้าของศพ
  • หน้ากากมายา นี้ บ้างชิ้นก็มีความวิจิตรงดงาม ยากที่จะพบเห็นได้จากแห่งอารยธรรมอื่นใดในโลกนี้ บ้างก็ดูธรรมดาสามัญ
ชาวมายาจะสวมใส่หน้ากาก ในหลากหลายโอกาส

  • หน้ากาก ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของเทพเจ้า อย่างเช่น เทพ Chak ที่เป็นเทพแห่งสายฝน
  • หน้ากาก ถูกสร้างเพื่อใช้ในพิธีแต่งงาน
  • หน้ากาก ถูกสร้างเพื่อใช้เฉลิมฉลองการกำเนิด ของ ชาวมายา
  • หน้ากาก ถูกสร้างไว้เพื่อประดับหน้าผู้ตายผู้ล่วงลับของชาวมายา
  • หน้ากาก ไม่ได้ถูกสร้างไว้ในพิธีการแบบเป็นทางการเท่านั้น มันยังถูกสร้างไว้เพื่อให้ความบันเทิง แก่ ของชาวมายา
  • แต่หน้ากากนี้ยังคงมีปริศนาที่เหลือไว้ให้นักโบราณคดี และนักมนุษยวิทยา ต้องถกเถียงกันคือ ในสนามรบ ชาวมายาสวมใส่หน้ากากเพื่ออะไร ระหว่างการสู้รบ บ้างว่า เพื่อป้องกันอันตรายจากอาวุธ บ้างว่าใช้เพื่อข่มขวัญศัตร บ้างว่าใช้เพื่อป้องกันอันตรายจากเวทมนต์คาถาจากศัตร
คลังภาพ หน้ากากชาวมายา



หน้ากากหยก และสร้อยคอหยก ของ K'inich Janaab' Paka ซึ่งเป็น ราชา ของ ชาวมายาในช่วงปี 615 ถึง 683


หน้ากากหยก พร้อม ตุ้มหู ที่ขุดพบที่ Calakmul


หน้ากากหยก


หน้ากากหยกที่ใช้ประดับหน้าศพ ของ ชาวมายา



ข้อมูลอ้างอิง หน้ากากกระดาษ



เปิดเผยการค้นพบ มนุษย์ยักษ์ จาก Nationalgeographic

เปิดเผยการค้นพบ มนุษย์ยักษ์ จาก เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก


Giant ยักษ์ โครงกระดูกยักษ์ตัวนี้ถูกกล่าวอ้างว่ามีการค้นพบโดยทีมสำรวจ ของ เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ( Nationalgeographic) ที่อินเดีย และมีการส่งต่อไปอย่างกว้างขวาง เรื่องนี้ทางเนชั่นแนลฯ ไม่สามารถอยู่เฉยต่อ E-mail นี้ได้จึงต้องหันมาเป็นนักสืบจำเป็น เพื่อไขข้อเท็จจริง

รายละเอียดเกี่ยวกับ เปิดเผยการค้นพบ มนุษย์ยักษ์

  • แน่นอนถ้ามีการค้นพบ มนุษย์ยักษ์จริง ทางเนชั่นแนลฯ คงไม่เป่าประกาศเฉพาะทาง E-mail อย่างแน่นอน เรื่องนี้มันต้อง เป่าประกาศกันทุกสื่อ กันระดับโลก
  • ในเมื่อมีการแอบอ้างชื่อของ เนชั่นแนลฯ ไปเกี่ยวข้องกับ E-mail ลวงโลกนี้ เนชั่นแนลฯจึงเริ่มการสื่อสวนหาที่มาของ E-mail นี้
  • ทำให้ทราบที่มาของ ภาพนี้มาจาก เว็บไซค์ Worth1000 จึงเป็นแหล่งรวมของ ศิลปินดิจิตอล นักแต่งภาพ ขั้นเทพ มากมาย มาประชันผลงานกัน
  • ภาพการขุดค้นพบมนุษย์ยักษ์นี้ เป็นภาพที่ได้รางวัลอันดับที่ 3 ประจำปี 2002 ในหมวด การค้นพบทางโบราณคดีที่หลอกลวง
  • เจ้าของผลงานภาพนี้ใช้นามแฝงว่า IronKite ที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อจริง
  • IronKite ใช้ภาพการขุดค้นพบซาก ช้างดึกดำบรรพ์มาสโตดอน(Mastodon) ที่ถ่ายไว้ในปี 2000 ที่ Hyde Park นิวยอร์ค เป็นองค์ประกอบหลักของภาพ
  • IronKite ให้สัมภาษณ์ กับ ทีมงานเนชั่นแนลฯ ในเดือนธันวาคม 2007 ว่าเขาได้ทำการซ้อนทับซากช้างด้วยโครงกระดูกมนุษย์ พร้อมนักโบราณดคีเข้าไปในภาพ อีก 1 คน กำลังขุดค้น พร้อมตกแต่งสี่ภาพให้กลมกลืนกัน

จะเห็นว่าเมื่อนำภาพทั้งสองมาซ้อนกัน ได้อย่างพอดี

ข้อมูลอ้างอิง เปิดเผยการค้นพบ มนุษย์ยักษ์

เซ็กส์ เรโช ( Sex Ratio )

เซ็กส์ เรโช


Sex Ratio อัตราส่วนเซ็กส์ จั่วหัวได้แรงทีเดียว แต่รับรองว่าผิดหวังกันเป็นแถบๆ เนื่องจาก อัตราส่วนเซ็กส์ นี้ไม่ใช่ อัตราส่วนการมีเซ็กส์ แต่ มันเป็น อัตราส่วนการเกิดระหว่างเพศหญิง และ เพศชาย ต่างหาก หลายคนอาจจะบอกว่าวัยรุ่นเซ็งแล้วเลิกอ่านเลยหรือเปล่า

รายละเอียดเกี่ยวกับ อัตราส่วนเซ็กส์

  • การเทียบอัตราส่วนเซ็กส์ จะตั้งอัตราส่วน ของ เพศหญิงเป็นค่าคงตัวที่ 100 เทียบกับเพศชาย
  • สามารถเขียนเป็นอัตราส่วนได้ดังต่อไปนี้ เพศชาย:เพศหญิง
  • ตัวอย่างเช่น 105:100 หมายความว่า มีเพศชาย 105 คน ต่อ เพศหญิง 100 คน
  • และอัตราส่วนเซ็กส์ที่ 105:100 นี้ก็ถือเป็นอัตราส่วนเฉลี่ยของประชากรโลก นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาคำอธิบาย ได้อย่างชัดเจนว่าทำไม อัตราส่วนเพศชาย กับ หญิงจึงไม่เป็น 100:100 ทำไมเพศชายจึงต้องมากกว่าผู้หญิง
นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามให้คำอธิบายไว้ว่า

  • เนื่องจากเพศชายในอดีตจะต้องออกไปล่าสัตว์ สู้รบในสงคราม มีพฤติกรรมที่เสี่ยงจะเสียชีวิตมากว่าเพศหญิง ทำให้มีโอกาศเสียชีวิตมากกว่หญิง (จึงต้องมีเพศชายเป็นอะไหล่สำรองไว้อีก 5 คนมั้ง)
  • สำหรับสิ่งมีชีวิตเพศที่เป็นผู้ริ่ม หรือ ก่อให้เกิดเซ็กส์ หรือเพศที่กระหายในเซ็กส์ ธรรมชชาติมักจะมีอัตราส่วนการให้กำเนิด เพศผู้เริ่ม มากกว่า เพศที่ไม่กระหายในเซ็กส์ ทำให้เพศชายมีโอกาสเกิดมากกว่าเพศหญิง จะเห็นว่าในสังคมแบบหลายเมีย( Polygynous society ) จะมีอัตราเพศชายมากกว่าเพศหญิง
  • มีความเป็นไปได้ที่เพศหญิงจะไม่ได้รับ การรายงาน หรือการจดทะเบียนเกิด ต่อราชการเท่าที่ควรด้วยเหตุผลบางประการ (สงสัยจะกระทบพี่จีนมั้ง)
  • การฆ่า ทอดทิ้ง ทารกหญิงในสังคมที่ชอบการมีบุตรชาย (สงสัยจะกระทบพี่จีนอีกแล้วมั้ง)
  • จากการศึกษานักวิทยาศาสตร์พบว่า ผู้หญิงที่มีฮอร์โมน Testosterone น้อยกว่าปกติ มีโอกาสจะให้กำเนิดทารกเพศชาย มากกว่า เพศหญิง
มาดูประเทศที่มี อัตราส่วนชายมากกว่าหญิงมากๆกัน

  • อเมริกา - 115:100
  • อาเซอร์ไบจาน - 114:100
  • จอร์เจีย - 113:100
  • อินเดีย - 112:100
  • จีน - 111:100 (นับเป็นตัวเลขที่น่าสนใจมากประเทศหนึ่ง เนื่องจากเมื่อก่อนปรเทศจีนมี Sex Ratio สูงถึง 120:100 ในช่องก่อนปี 1990 ก่อนที่จะมีเทคโนโลยีการแพทย์อัลตร้าซาวน์(Ultrasound)ใช้อย่างแพร่หลาย และค่านิยมการมีทารกชายยังสูงอยู่ อันเป็นผลมาจากประเทศจีนจีนจะให้เงินอุดหนุนเฉพาะลูกคนแรกเท่านั้น และคนจีนมีค่านิยมว่ามีลูกชายไว้สืบสกุล ทำให้มีการฆ่า ทอดทิ้งทารกหญิงในจีนสูงมาก ถ้าบุตรคนแรกที่เกิด ไม่ใช่ ทารกเพศชาย)
  • แอลบาเนีย - 110:100
ข้อมูลอ้างอิง เซ็กส์ เรโช ( Sex Ratio )

ทำไม จักจั่น จึงร้องเพลง ( Cicadas sing a song )

ทำไม จักจั่น จึงร้องเพลง


Cicadas จักจั่น แมลงที่เราจะเห็นตามรถขายแมลงทอด และ อีกสิ่งที่เราคุ้นเคยกับมันก็ คือ เสียงบทเพลงแห่งรักของมัน

รายละเอียดเกี่ยว กับ จักจั่น

  • จักจั่น นับเป็นแมลงที่อึกทึกที่สุดในโลก เนื่องจากจักจั่นบางสายพันธุ์สามารถส่งเสียงร้องได้ ดังถึง 100 เดซิเบล(Decibels)
  • จักจั่น มีเฉพาะตัวผู้เท่านั้นที่ส่งเสียงร้อง เพื่อหาคู่ครอง ของมัน
  • จักจั่น แต่ละสายพันธุ์มีบทเพลงแห่งรักที่เฉพาะ จึงไม่ต้องกลัวว่าพวกมันจะมีลูกครึ่ง ผมทอง ตาสีน้ำข้าว
  • จักจั่น ตัวผู้เต็มวัยจะมีเนื้อเยื่อบริเวณซี่โครงที่เรียกว่า Tymbals อยู่ 1 คู่ ใต้ลำตัวที่ปล้องแรก ที่ ต่อกับส่วนอก
  • เมื่อกล้ามเนื้อด้านในบริเวณ Tymbals หดตัว ทำให้ Tymbals เกิดการโค้งงอเข้าด้านใน ทำให้เกิดเสียง คลิก ขึ้นเมื่อจักจั่นคลายกล้ามเนื้อ Tymbals จะคืนสภาพ ทำให้เกิดเสียง คลิก อีกครั้งที่ต่างโทนเสียงกัน
  • เมื่อจักจั่นทำการหดเกร็ง และผ่อนกล้ามเนื้อไปมา ทำให้ Tymbals โค้งงอไปมาทำให้เกิดเป็น บทเพลงแห่งรัก ขึ้น ไม่ใช่เกิดจากการสีปีกไป อย่างที่เราเข้าใจกันในอดีต
  • ส่วนที่เราเห็นจักจั่นสีปีกไปมา และเข้าใจผิดว่าทำให้เกิดเสียงนั้นเกิดจาก จักจั่นตัวเมียตอบสนองต่อบทเพลงแห่งรักของ จักจั่นตัวผู้ ก็จะทำการสีปีก เพื่อเป็นการตอบสนองต่อตัวผู้
ข้อมูลอ้างอิง ทำไม จักจั่น จึงร้องเพลง

ทำไม ยุงกัด ทำไมจึง คัน ( Why Do Mosquito Bites Itch?)

ทำไม ยุงกัด ทำไมจึง คัน


itch คันยิกๆ เพื่อนทุกคนคงมีประสบการณ์ คันยิกๆ เป็นตุ่มแดง ยิ่งเกายิ่งมัน มันยิ่งเกา จนเลือดไหลซิบๆ กันบางบ้างไม่มากก็น้อย ยิ่งสาวๆถ้าใครขาลาย ชัวร์

รายละเอียดเกี่ยวกับยุงกัด

  • ยุงที่กัดเราโดยแท้จริงมีเฉพาะยุงตัวเมียเท่านั้น ส่วนยุงตัวผู้จะกินน้ำหวานไม่กินเลือด
  • ความจริงยุงไม่ได้กัดเรา แต่ ยุงใช้งวงจิ้มผ่านผิวหนังด้านนอก เหมือนอย่างที่เราใช้หลอดดูดน้ำ เมื่อผ่านผิวหนังชั้นนอกมันจะใช้งวงหาเส้นเลือดในผิวหนัง ชั้น dermal layer
  • เมื่อยุงพบเส้นเลือดมันจะปล่อยน้ำลายออกมา ในน้ำลายยุงจะมีสาร Anti-coagulant ซึ่งจะช่วยให้เลือดไหลโดยไม่แข็งตัวให้ ยุง สามารถดูดกินได้อย่างสบายพุง แดงๆของมัน
  • เมื่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของเรา รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอม ที่ บุกรุกสู่ร่างกาย ร่างกายจะสร้างสาร Histamine ขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม
  • ระดับ Histamine ที่เพิ่มขึ้นบริเวณที่ถูกยุงกัด เป็นเหตุให้หลอดเลือดในบริเวณนั้นขยายตัว ทำให้เกิดอาการบวมแดง ทำให้เส้นประสาทในบริเวณนั้นได้รับการกระตุ้น และ ระคายเคือง อย่างผิดปกติ ทำให้เกิดอาการคัน ขึ้น

ภาพเมื่อยุงใช้งวง จิ้มผ่านผิวหนัง เข้าสู่เส้นเลือดของเรา

ข้อมูลอ้างอิง ทำไมยุงกัด ทำไมคัน


เจาะกะโหลก ( Trepanning skull )

เจาะกะโหลก


Trepanning skull เจาะกะโหลก เพื่อนๆจะเชื่อหรือเปล่าว่ามีการค้นพบว่าแพทย์เมื่อกว่า 6500 ปีล่วงมาแล้วใช้การ เจาะกะโหลก เพื่อรักษาโรค

รายละเอียด เกี่ยวกับการเจาะกะโหลก ในยุคก่อนประวัติศาสตร์

  • ทรีแพนนิ่ง (Trepanning) การเจาะกะโหลก รู้จักอีกในหลายชื่อเช่น trephining หรือ making a burr hole เป็นการเทคนิคการแพทย์ที่ใช้ การสร้างรูบนกะโหลกศีรษะ โดยการ เจาะ , ขูด เพื่อเผยให้เห็นเยื่อหุ้มสมองชั้นนอก(dura mater)
  • การเจาะกะโหลกทำเพื่อเป็นการรักษาโรคปวดหัว หรือ ในบางวัฒนธรรมมีความเชื่อว่าอาการปวดหัวเกิดจากวิญญาณร้ายที่เข้าไปอยู่ในกะโหลก ต้อง เจาะรูให้วิญญาณร้าย ผ่านออกมาจึงจะหายจากโรคร้าย และการรักษาอาการบาดเจ็บทางสมอง
  • มีหลักฐานว่า การเจาะกะโหลกมีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ในยุคหินใหม่(Neolithic) มีการพบภาพเขียนภายในถ้ำ
  • โดยเศษกะโหลกที่ได้จากการรักษาจะถูกเก็บไว้เพื่อเป็นเครื่องลาง เพื่อป้องกันวิญญาณร้าย
  • หลักฐานบางส่วนที่พบยังแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บทางศีรษะถึงกะโหลกแตก มาก่อนการได้รักการรักษาโดยการ เจาะกะโหลก
  • มีการพบกะโหลกกว่า 120 ชิ้น ที่ฝังอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศลในช่วง 6500 ก่อนคริสศักราช มี กะโหลก อยู่ 40 ชิ้น ที่พบการเจาะกะโหลก
  • หลักฐานจากกะโหลกแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยบางคนรอดชีวิตจากกการเจาะกะโหลกเนื่องจาก พบว่ามีร่องรอยของการงอกใหม่ของเนื้อเยื่อกะโหลกจากด้านใน แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยรอดชีวิต หลังการผ่าตัด หัวกะโหลกจึงมีการซ่อมแซมตัวเอง
  • ภาพที่จั่วหัวคือภาพหัวกะโหลกของมนุษย์ ยุคเหล็ก(Iron age)
คลังภาพเจาะกะโหลก อื่นๆ


หัวกะโหลกของชาวอินคา ใน อเมริกากลาง ยุคก่อนที่โคลัมบัส จะค้นพบทวีปอเมริกา ก็มีการขุดพบหัวกะโหลกที่มีการทำ เจาะกะโหลก ทีทั้งการเจาะเป็นวงกลม เป็นรูปไข่ และสี่เหลี่ยม มีหัวกะโหลกบางชิ้นมีรูเจาะถึง 7 รู โดยชาวอินคาใช้ การเจาะกะโหลก เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ทางศีรษะจากการรบ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง เจาะกะโหลก



กะโหลกแก้ว เก๊ หรือ แท้ (Fake)

กะโหลกแก้ว แห่ง มายา เก๊ หรือ แท้


Crystal skulls กะโหลกแก้ว เป็น 1 ใน สมบัติโบราณของอารยธรรมที่สาบสูญ ที่เต็มไปด้วยปริศนามานับศตวรรษ นับตั้งแต่มีการค้นพบกะโหลกแก้ว ของ ชนเผ่าโบราณ ยิ่ง Hollywood นำมันมาผูกเข้า ภาพยนต์เรื่องอินเดียน่าโจน์ ว่าผู้ได้ครอบครองมันจะได้รับพลังที่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ไว้ในครอบครอง ยิ่งทำใหมันลึกลับมากยิ่งขึ้น

กะโหลกแก้ว ที่เป็นที่รู้จักดีนั้นแบ่ง ได้ 5 ส่วนคือ


มีความเชื่อว่ากะโหลกแก้วเหล่านี้ถูกสร้างโดย ชนเผ่าโบราณที่มีอารยธรรม และเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าเป็นอย่างมากของชนเผ่าที่สาบสูญ เช่น ชาวมายา ชาวแอซแท็คส์ โดย พวกนักบวช พ่อมด หรือหมอผี หรือบ้างมีความเชื่อถึงว่ามันไม่ใช่ วัตถุจากโลกนี้ เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม การร่ายเวทมนต์ คาถา ในการรักษาเยียวยา การไล่ภูตผี หรือ สาปแช่ง
  1. กะโหลกแก้วที่ถูกเก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ(British Museum)
  2. กะโหลกแก้วที่เก็บรักษาไว้ที่สถาบันสมิธโซเนียน(Smithsonian Institution) ใน วอชิงตัน ดีซี
  3. กะโหลกแก้วที่เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Musée Quai Branly ในปารีส
  4. กะโหลกแก้วที่โด่งดังที่สุดคือ กะโหลกแก้วของ มิเชลล์ เฮดจ์ส(Mitchell - Hedges ภาพจั่วหัว กะโหลกแก้วอันนี้เป็นกะโหลกแก้วอันแรกที่ถูกกล่าวอ้างว่ามีการค้นพบในซากโบราณสถาน ในการค้นพบครั้งแรกค้นพบเฉพาะส่วนบน ส่วนขากรรไกรหายไป และต่อมาจึงมีการค้นพบขากรรไกร ไม่ห่างจากกันไม่มากนัก )
  5. และสุดท้ายคือ กะโหลกแก้วในคอเลคชั่ส่วนตัวของนักสะสมอิสระ

ภาพกะโหลกแก้วของ พิพิธภัณฑ์ Musée Quai Branly ในปารีส

ผลการพิสูจน์ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ กะโหลกแก้ว

ผลการพิสูจน์นี้เป็นของ กะโหลกแก้ว นี้เป็นผลการพิสูจน์กะโหลกแก้วของพิพิธภัณฑ์อังกฤษ และกะโหลกแก้วของสถาบันสมิธโซเนียน เท่านั้น ไม่ครอบคลุมไปถึงกะโหลกแก้วอันอื่น
  • ผลกการพิสูจน์พบว่า กะโหลกแก้ว นี้ถูกสร้างด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นฝีมือการสร้างโดยชนเผ่าโบราณอย่าง มายา(Mayans) หรือ แอซแท็คส์(Aztecs) ในอเมริกากลาง
  • การทดสอบ และพิสูจน์นี้ทำโดย มาร์กาเร็ท แซ็ก(Margaret Sax) จากพิพิธภัณฑ์อังกฤษ และศาสตราจารย์ Ian Freestone จากมหาวิทยาลัย Cardiff
  • ทีมวิจัยได้ใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ส่องดูพื้นผิวของกะโหลกแก้ว พบร่องรอยการขัดแต่งมีลักษณะเป็นเส้นแนวคมชัด และเป็นแถวแนวขนานกัน ซึ่งเป็นลักษณะของเครื่องขัดจานหมุน(Spinning disc-shaped tool) ที่ทำจากโลหะ โดยมีการเพิ่มพวกกากอัญมณีเข้าไปที่ใบขัด เพื่อความง่ายในการขัดแต่งชิ้นงาน
  • เป็นไปไม่ได้เลยที่ ในสมัยที่ชนเผ่ามายา และ แอซแท็คส์ อยู่นั้นจะมีเทคนิคที่จะได้คุณภาพงานเช่นนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากหลักฐานที่ค้นพบ ชาวแอซแท็คส์นั้นใช้เครื่องมือที่ทำจาก หิน และไม้
  • สำหรับหัวกะโหลกแก้ว จาก พิพิธภัณฑ์อังกฤษ เมื่อทำการทดสอบด้วยการ X-ray diffraction กับพบสิ่งที่ใช้ขัดนั้นเป็นพวก กากเพชร หรือกากพลอย
  • แต่สำหรับหัวกะโหลกแก้ว จาก สถาบันสมิธโซเนียน เมื่อทำการ X-ray diffraction กับพบวัสดุที่เรียกว่า Carborundum โดย Carborundum นี้เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่พึ่งมีใช้ในศตวรรษที่ 20 นี้เอง ซึ่งหมายความกะโหลกแก้วของ สถาบันสมิธโซเนียน คาดว่าจะสร้างขึ้นในช่วง ไม่นานไปกว่าปี 1950

ภาพหัวกะโหลกของสถาบันสมิธโซเนียน จะมีลักษณะแปลกกว่ากะโหลกแก้วอันอื่นคือ มันถูกสร้างด้วยแก้วขุ่น และมีน้ำหนักมาก


ภาพพื้นผิวของกะโหลกแก้ว ของ สถาบันสมิธโซเนียน จะเห็นรอยขัดเป็นแนวจากเครื่องขัดสมัยใหม่

ภาพผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ของ กะโหลกแก้วจาก พิพิธภัณฑ์อังกฤษ


ภาพ กะโหลกแก้ว ด้านหน้า จาก พิพิธภัณฑ์อังกฤษ มันปรากฏขึ้นครั้งแรกที่ร้านขายวัตถุโบราณในปารีส ของ Eugène Boban ในปี 1881 โดยไม่ทราบแหล่งที่มาแน่ชัด เขาพยายามจะขายมันให้แก่ พิืพิธภัณฑ์แห่งชาติของเม็กซิโก เหมือนวัตถุโบราณอื่นของ แอซแท็คส์(Aztec) แต่ไม่ประสบณ์ความสำเร็จ


ต่อมา Eugène Boban ได้ย้ายมาเปิดกิจการที่ นิวยอร์ค และได้ขาย กะโหลกแก้วอันนี้ให้แก่ George H. Sisson มันได้ถูกนำไปจัดแสดงในงาน American Association for the Advancement of Science ในนิวยอร์ค ในปี 1887


ต่อมามันถูกประมูลไปโดย Tiffany and Co ซึ่งต่อมาได้ขายต่อกะโหลกแก้วนี้ให้แก่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ ในปี 1897 โดย กะโหลกอันนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกะโหลกแก้ว Mitchell-Hedges เพียงแต่มีรายละเอียดน้อยกว่า และไม่สามารถถอดขากรรไกร


ทางพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของกะโหลกแก้วนี้ไว้ว่า
"ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้ที่กระโหนกนี้จะสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 และมันไม่ใช่วัสถุที่สร้างในยุคพรี-โคลัมเบียน(pre-Columbian คือ ยุคก่อนการค้นพบของโคลัมบัส) มันถูกสร้างด้วยเครื่องมือสมัยใหม่"


ภาพพื้นผิวของ กะโหลกแก้ว ของ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ จะเห็นได้ชัดเจนว่า รอยการขัดนั้นเป็นเส้นตรงคมเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีระเบียบ ซึ่ง เป็นลักษณะของการถูกขัดด้วย เครื่องเจียรสมัยใหม่


เนื้อคริสตัล ของแต่ละแหล่งจะมีลักษณะเฉพาะจากส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์พบว่า มีผลึกสีเขียวที่มีการเรียงตัวคล้ายตัวหนอน มันคือ แร่เหล็กที่มีครอไรท์สูง(ron-rich chlorite) ซึ่งเป็นลักษณะของแร่ควอทซ์ จากเหมืองในประเทศ บราซิล หรือ มาดากัสการ์ เท่านั้น ซึ่งเหมืองทั้งสองแหล่งนี้พึ่ง เริ่มทำกันในยุคศตวรรษที่ 18 มานี้เอง จึงเป็นไปไม่ได้ที่กะโหลกนี้จะถูกสร้างโดย ชาวมายา หรือ แอซแท็คส์

ข้อมูลอ้างอิง กะโหลกแก้ว