ใช้ ยาพิษ รักษา มะเร็งเม็ดเลือด (use arsenic to fight blood cancer)

รักษามะเร็งเม็ดเลือดด้วย ยาพิษ


10 อันดับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2010 เรื่องที่ 4 ใช้ยาพิษรักษาโรคมะเร็ง หลายคนฟังแล้วอาจจะตกใจว่าอย่างนี้มะเร็งหาย แต่ จะตายด้วยยาพิษหรือเปล่า

รายละเอียดเกี่ยวกับการใช้ยาพิษ รักษามะเร็งเม็ดเลือด

  • ยาพิษที่ถูกนำมาใช้นี้คือ ยาพิษยอดนิยมในสมัยกลาง ยาพิษนั้นคือ สารหนู(Arsenic) เนื่องจากเป็นสารที่พบในธรรมชาติได้ทั่วไป มีพิษร้ายแรง และเมื่อถูกพิษจะมีอาการเหมือนเป็นโรคอหิวาตกโรค(Cholera ) และบ่อยครั้งที่การตรวจวินิจฉัยนั้นไม่พบ
  • ที่น่าประหลาดใจก็คือ สารหนูเป็น 1 ในสารก่อมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด มะเร็งไต มะเร็งผิวหนัง และอาจเป็นสารก่อมะเร็งต่อมลูกหมาก ถ้าได้รับอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
  • ในทางตรงกันข้าม หากนำไปใช้ในรูปแบบ และปริมาณที่เหมาะสม สารหนู กลับกลายเป็นตัวยารักษามะเร็ง (เหมือนในหนังจีนเลยที่ใช้พิษแก้พิษ สุดยอด)
  • ตามตำหรับยาจีนโบราณ มีการใช้สารหนู เป็นตัวยามากว่า 2,000 ปี ล่วงมาแล้ว
  • และในปี 1992 ก็มีการตีพิมพ์รายงาน การใช้ สารหนูรักษามะเร็งเม็ดเลือด และมะเร็งไขกระดูก ที่อัตราการความสำเร็จในการรักษาสูงถึง 90% ในประเทศจีน แต่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างแน่ชัดว่าทำไมสารหนูจึง มีความสามารถในการรักษามะเร็ง ดังกล่าว
  • จนกระทั้งทางทีมวิจัยที่นำโดย Zhang Xiaowei จาก ห้องทดลอง Medical Genomics ใน มณฑลเซี่ยงไฮ้(Shanghai) ประเทศจีน ได้ใช้เครื่องมือไฮเทค เฝ้าติดตามและศึกษาจนพบว่า สารหนู นั้นมุ่งเน้นเข้าทำลายเฉพาะโปรทีน ที่จำเป็นต่อการดำรงณ์ชีพของเซลล์มะเร็ง
  • หัวหน้าทีมวิจัย Zhang Xiaowei กล่าวว่า มันไม่เหมือนการใช้เคมีบำบัด(Chemotherapy) เนื่องจากผลข้างเคียงในการใช้สารหนูรักษามะเร็ง APL นั้นต่ำมาก ไม่เกิดทั้งอาการผมร่วง หรือมีผลทำให้ไขกระดูกหยุดการทำงาน
  • ทางทีมงานวิจัยยังสนใจที่ค้นหาว่า สารหนู ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการรักษามะเร็งชนิดอื่นอีกต่อไปในอนาคต
  • และมันเป็นหลักฐานยืนยันว่า ภูมิปัญญาจากการแผนโบราณนั้นมีประสิทธิภาพอย่างน่าเหลือเชื่อ
ในยาไทยก็มีการใช้สารหนูเป็นตัวยา แต่ใช่ว่าอยู่ๆจะนำมากิน เนื่องจากสารหนูมีพิษร้ายแรง จึงต้องมีการฆ่าฤทธิ์ยา ด้วยการบดสารหนูให้ละเอียด นำผงสารหนูใสภาชนะหม้อดิน บีบน้ำมะนาว หรือน้ำมะกรูดใส่จนท่วมสารหนู ตั้งไฟจนแห้ง ทำอย่างนี้ 7 - 8 ครั้ง จนสารหนูกรอบดีแล้วจีงนำไปปรุงเป็น ตัวยา
อ้างอิง จาก http://www.thaipun.com/
บทความที่เกี่ยวข้่อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.chinadaily.com.cn/world/2010-04/10/content_9711047.htm
  • http://www.thaipun.com/index.php?option=com_content&view=article&id=88:2010-01-29-14-38-36&catid=41:2010-01-28-13-42-13&Itemid=110