เบียร์ แรงที่สุด แพงที่สุด และ แปลกที่สุดในโลก

ที่สุด แห่ง เบียร์


คงจะไม่มี เบียร์ อะไรจะครองความเป็นที่สุดได้เท่านี้อีกแล้ว แค่ชื่อของมันก็บ่งบอกแล้ว " The End Of History " สิ้นสุดหน้าประวัติศาสตร์ คือ ไม่มีเบียร์อะไรจะแรงกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีเบียร์อะไรจะแพงกว่านี้อีกแล้ว และไม่มีเบียร์อะไรที่จะแปลกกว่านี้อีกแล้ว เนื่องพวกเขาไม่สามารถจะค้นคว้าหรือปรุงเบียร์ที่เป็นที่สุดกว่านี้ไม่ได้แล้ว

รายละเอียด

  • เบียร์ อันเป็นที่สุดนี้ ยี่ห้อนี้มีชื่อว่า BrewDog
  • เบียร์ อันเป็นที่สุดสูตรนี้มีชื่อว่า The End Of History
  • เบียร์ นี้มีเพียง 11 ขวดเท่านั้นในโลก แต่ละขวดจะบรรจุมาในซองหนังสัตว์โดย เจ็ดขวดจะอยู่ในซองตัวซโทท(ซองสีน้ำตาล) ส่วนอีกสี่ขวดอยู่ในซองตัวกระรอกเทา ทำให้มันเป็นเบียร์ที่มีขวด ที่ แปลกประหลาดที่สุดในโลก ยี่ห้อหนึ่ง (เขาบอกว่าเขาไม่ได้ไปไล่ถลกหนัง กระรอก หรือตัวซโททแต่พวกมันเป็นสัตว์ที่ตายจาก ถูกรถทับรถชนบนถนน)
  • เบียร์ นี้มีดีกรีความแรงถึง 55 ดีกรี ทำให้มันเป็นเบียร์สูตรที่แรงที่สุดในโลก ไปครองทิ้งห่างอันดับสองยี่ห้อ Schorschbräu Schorschbock ที่มีดีกรีความแรงที่ 43 ดีกรี ไปอย่างไม่เห็นฝุ่น
  • ส่วนราคา ขวดละ 762 เหรียญสหรัฐ(ประมาณ 22,800 บาท/ขวด)
  • การปรุงเบียร์สูตรนี้ เริ่มแรกจากการนำ เบียร์แบบ blond Belgian ale มาทำการกลั่นอีกหลายต่อหลายครั้ง เติมด้วยnettle(พืชชนิหนึ่ง)จากที่ราบสูงของสกอตแลนด์ ผสมด้วยผลเบอรี่จูนิเปอร์สด(juniper) และสูตรลับที่ไม่เปิดเผย
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.ratebeer.com/Ratings/TopAlcohol.asp
  • http://www.9label.com/food-and-cooking/Roadkill+Beer%3A+The+End+of+History+Beer/
  • http://www.longislandpress.com/2010/07/23/brewdog-beer-worlds-most-expensive-served-in-animal-corpses/

คลิปวีดีโอ เคล็ดลับ ฝ่ามือเหล็กไหล

คลิป

พอดีไปเจอคลิปนี้เข้าเห็นว่าน่าสนใจ แต่อย่าไปลองกันนะครับอันตรายมาก โดย เจ้าของคลิปใช้นิ้วเปล่าเปลือยจุ่มลงในในตะกั่วหลอมเหลว(จุดหลอมเหลว 327 องศาเซลเซียส) งานนี้โหดโฉดกว่าจุ่มมือในน้ำร้อน หรือ ชุ่มมือในน้ำมันเดือด งานนี้ไม่มีทรงเจ้าเข้าผี อาศัยวิทยาศาสตร์ล้วนๆ

เคล็ดลับ

  • ต้มตะกั่วจนหลอมเหลว
  • จุ่มมือลงในน้ำสะอาด สลัดมือนำน้ำส่วนเกินออกแต่ต้องมีน้ำเคลือบเป็นผิวบางบนผิวหนังของเราบนบริเวณที่จะจุ่มลงไปใน ตะกั่วหลอมเหลว
  • จุ่มนิ้วลงไปใน ตะกั่วหลอมเหลว ขณะที่มือยังเปียกอยู่ ความร้อนจากตะกั่วหลอมเหลวจะถูกใช้ในการระเหยน้ำที่เคลือบผิวเรา ทำให้ผิวหนังไม่ได้รับบาดเจ็บจากความร้อน แต่ถ้าจุ่มนานน้ำระเหยออกไปหมดคราวนี้ก็ส่งโรงบาลครับ
  • เรื่องดังกล่าวสามารถอธิบายได้ด้วย ปรากฎการณ์ที่เรียกว่า Leidenfrost effect คือเมื่อของเหลวสัมผัสกับสิ่งของที่มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือด ของ ของเหลว ความร้อนจากวัตถุจะทำให้ของเหลวเกิดการเดือดก่อให้เกิดเป็นชั้นไอน้ำบางๆ(insulating vapor layer) ทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันของเหลวระเหยอย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์นี้จะเห็นได้บ่อยๆตอนตั้งกระทะร้อนๆแล้วหยดน้ำลงไป หยดน้ำจะเต้น วิ่งไปมา อันเป็นผลจากปรากฏการณ์นี้
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Leidenfrost_effect

โรคประหลาด หลงรัก วัตถุ สิ่งของ แบบ ผัวเมีย (Object sexuality)

หลงรัก สิ่งของ ฉันท์ผัวเมีย


เมื่อไม่นานเห็นหนุ่มแดนกิมจิ แต่งงาน กับ หมอนข้าง ตอนแรกก็คิดว่า เป็นพวกอยากดังทำตัวเป็นข่าว แต่วันนี้ไปเจอ คำว่า "Object sexuality" จึงทำให้ทราบว่าอาการดังกล่าวนั้นเป็นการป่วยทางจิต


รายละเอียด


  • โรค Object sexuality ใช้ชื่อย่อว่า OS หรือบางครั้งรู้จักกันในชื่อ objectophilia
  • ผู้ป่วยจะมีอาการ ทางอารมณ์ หลงไหลในวัตถุสิ่งของ รัก ในวัตถุสิ่งของที่ไม่มีชีวิต บ้างก็หลงไหลในสิ่งก่อสร้างในความแข็งแกร่งและพลกำลัง
  • บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยจะมีความเชื่อเรื่อง วัตถุสิ่งของที่ตนเองหลงรักนั้น มีจิตวิญญาณ มีความรู้สึก ทรงภูมิปัญญา และสามารถพูดคุยติดต่อสื่อสารกับ ผู้ป่วยได้
  • ผู้ป่วยบางคนถึงกับ ปิดกันความรู้สึกทางเพศกับมนุษย์เลยทีเดียว
  • เคสที่โด่งดัง ก็เป็นเคสของ Eija-Riitta Eklöf หญิงชาวสดีเดน จากเมืองLiden ผู้ซึ่งแต่งงานกับ กำแพงเบอร์ลิน(ฺBerlin Wall) ในช่วงปี 1970
  • อีกเคศในปี 2007 หญิงสาวชาวอเมริกันจาก ซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย นามว่า Erika Eiffel ที่ป่วยจากโรค OS เธอได้ทำการแต่งงานกับหอไอเฟล แถมยังก่อตั้งสมาคมชาวรักวัตถุนานาชาติ(OS Internationale)

Eija-Riitta Eklöf ผู้หลงรัก กำแพงเบอร์ลิน


Erika Eiffel ผู้หลงรัก หอไอเฟล (เดิมเธอไม่ได้ชื่อ Eiffle แต่เธอเปลี่ยนชื่อให้เหมือน สามี โชดดีที่หอไอเฟลไม่มีนามสกุล ไม่งั้นเธอต้องใช้นามสกุล ของ หอไอเฟลด้วยแน่ๆ)

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Object_sexuality

ดอลลาร์ซิมบับเว เงิน ที่ ไำร้ค่า ด้อยค่า ที่สุดในโลก (Zimbabwean dollar)

ไร้ค่า ด้อยค่า เสื่อมค่า


เงินสกุลอะไรเอ่ย ไร้ค่ายิ่งกว่ากระดาษชำระ? ก็ เงินซิมบับเว ไง ทำไมผมถึงเขียนขนาดนี้ ก็เนื่องจากถึงคุณพกเงินสกุลนี้ไปก็แทบจะซื้ออะไรไม่ได้หนักกระเป๋าเปล่า แม้แต่ในประเทศ ซิมบับเว เองก็ตาม มันด้อยค่าถึงขั้นบางช่วงเวลา 100,000,000,000 (หนึ่งแสนล้านดอลลาร์ซิมบับเว) ซื้อไข่ได้แค่ 3 ฟอง

รายละเอียด

  • เดิมทีก่อนช่วงปี ค.ศ.1980 ที่ประเทศซิมบับเวยังใช้สกุลเงินโรดีเซียดอลลาร์(Rhodesian Doallar)
  • จนกระทั้งในปี 1980 ประเทศซิมบับเวประกาศใช้สกุลเงินของตอนเอง เป็นสกุลเงิน ดอลลาร์ซิมบับเว แทน โรดีเซียดอลลาร์ ด้วยอัตรา 1ดอลลาร์ซิมบับเว = 1โรดีเซียดอลลาร์
  • เนื่องจากความวุ่นวายภายในประเทศ ปัญหาเงินเฟ้ออย่างหนัก ค่าเงิน ดอลลาร์ซิมบับเว ก็อ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง
  • ถึงแม้ทางรัฐบาลจะออกมา ประกาศใช้สกุลเงินใหม่ อีกถึง 3 ครั้งในปี 2006, 2008 และ 2009 พิมพ์ธนบัตรใหม่เพิ่มเลขศูนย์ต่อท้ายกันเป็นว่าเล่น เพื่อชาวบ้านจะได้ไม่ต้องพกเงินกันทีเป็นปึก จนธนบัตรที่มีมูลค่าสูงสุดนั้นมากถึง 100,000,000,000,000 (ร้อยล้านล้านดอล์ลาร์ซิมบับเว)
  • ถึงรัฐบาลซิมบับเวจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดยั้งการเสื่อม ด้อยค่าของสกุลเงินของตนเองได้ จนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2009 ต้องใช้เงิน 3 ร้อยล้านล้านดอลลาร์ซิมบับเว เพื่อแลกเงิน ดอลลาร์สหรัฐได้แค่1เหรียญ
  • จนกระทั้งในวันที่ 12 เมษายน 2009 เงินดอลลาร์ซิมบับเว ก็ถูกยกเลิกการใช้อย่างไม่มีกำหนด และใช้สกุลเงิน ยูโร(Euro) ดอลลาร์สหรัฐ เงินปอนด์ เงินแรนด์แอฟริกาใต้ และ เงินพูลาบอตสวาน ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็น สกุลเงินอย่างเป็นทางการทดแทน

ในช่วงกลางเดือนมกราคม 2009 แบงค์มูลค่า 100,000,000,000,000 (ร้อยล้านล้านดอล์ลาร์ซิมบับเว) ใบนี้มีมูลค่าเพียง 1 เหรียญสหรัฐ เมื่อไปถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์2009(ประมาณ15วันต่อมา)ต้องใช้แบงค์นี้3ใบ แลกเงิน1เหรียญสหรัฐ และหลังจากนั้นไม่กี่วันมันก็กลายเป็นเศษกระดาษไร้ค่า

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Zimbabwean_dollar

ลิงโบโนโบ ลิงชนิดเดียวที่มี พฤติกรรมทางเพศเหมือน มนุษย์ (Bonobo Ape)

ลิงโบโนโบ้


ลิงโบโนโบ้ เป็น เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์เพียงชนิดเีดียว ที่มีการแสดงความรัก และพฤติกรรมทางเพศเหมือนมนุษย์ คือ ทั้งร่วมรักแบบเห็นหน้ากัน การจูบแบบใช้ลิ้น การทำรักด้วยปาก พวกมันเป็นลิงเป็นญาติใกล้ชิดกับ ลิงชิมแปนซี(Chimpazee) แต่มีแขนขาและร่างกายยาวกว่า ซิมแปนซี และมีจุดศูนย์ถ่วงล่างกายที่ต่ำกว่าทำให้มีความสามารถในการเดิน 2 ขาได้ดีกว่า

อ้างอิง

  • รูปภาพถ่ายโดย Frans de Waal
  • http://www.omg-facts.com/view/Facts/16642

เมื่อวัวป่วย บางครั้งจำเป็นต้องให้กิน แม่เหล็ก (cow magnet)

เลี้ยงวัวด้วย แม่เหล็ก


เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป โรคแปลกๆก็มีเพิ่มขึ้นพาลไปไม่เว้นแม้แต่ วัว ควาย ก็ ต้องมาป่วยไข้จาก เศษขยะ ที่พวกเราทิ้งขว้างไว้ตาม ทุ่งหญ้า ทำวัวควายต้องเจ็บป่วย และวิธีรักษานั้นก็แปลกมาก คือ ให้กินแท่งแม่เหล็กเป็นยารักษา

รายละเอียด

  • ลองสังเกตดูจะพบว่าเมื่อ เราวิ่งรถออกไปต่างจังหวัดเดิ๋ยวนี้ ข้างทางจะเต็มไปด้วยขยะ ถุงพลาสติก ขวดแก้ว และเศษโลหะต่างๆ ที่ถูกทิ้งออกมาจากรถมักง่าย
  • เศษขยะเหล่านี้ เมื่อวัวควาย กินเข้าไป มันจะไปค้างอยู่ที่ ระบบกระเพาะผ้าขี้ริ้วหรือรูเมน (rumen) หรือ กระเพาะรวงผึ้งหรือเรติคิวลัม (reticulum) ของพวกมัน ทำให้วัวควายเกิดเป็นโรคที่เรียกว่า hardware disease โดยมากจะเป็นผลมาจากเศษโลหะที่แหลมคม ไปทิ่มแทง เนื้อเยื่อ ภายในกระเพาะอาหารทำให้เกิดอาการระคายเคือง และอับเสบ
  • เมื่อวัวควายป่วยเป็นโรค hardware disease วัวเนื้อจะน้ำหนักลด ในวัวนมก็จะมีปริมาณน้ำนมลดลง ทำให้เกษตกรสูญเสียรายได้ จะรักษาโดยการผ่าตัดรักษาก็ไม่คุ้มค่า ถึงผ่าตัดรักษาหายก็ไม่มีอะไรรับรองว่าพวกมันจะไม่ไปกินเศษขยะจนเจ็บป่วยขึ้นมาอีก
  • ฉะนั้นจึงมีวิธีรักษาแบบแปลกๆ คือ ให้กินแม่เหล็กสำหรับวัว(Cow magmet)
  • แม่เหล็กสำหรับวัว นี้ ในอดีตทำจากแม่เหล็กAlmicoกำลังสูงมีรูปทรงเป็นแท่งมนเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เซ็นติเมตร ยาว 8 เซ็นติเมตร ปัจจุบันมักพบ ทำในลักษณะใช้แม่เหล็กFerriteมีลักษณะเป็นวงแหวน หลายอัน นำมาเรียงเว้นห่างกันเป็นระยะๆ ทำการหุ้มแม่เหล็กด้วยสเตนเลส(หรือ พลาสติก)
  • เมื่อพบว่าวัวควายมีอาการของโรค Hardware disease ก็จะทำการสอดแม่เหล็กสำหรับวัวลงไปในกระเพาะวัว แม่เหล็กนี้จะไปดูดติดเศษเหล็กต่างๆแนบติดกับแม่เหล็กเพื่อเป็นการจัดเรียง เศษโลหะเหล่านั้นไม่ให้ก่อความระคายเคืองในกระเพาะ ทำให้อาการของโรคHardware disease นั้นปรากฏอาการไม่รุนแรง
  • แม่เหล็กสำหรับวัวนี้จะอยู่ในกระพาะของ วัวควายไปจนตายเนื่องจากมันจะไม่สามารถเคลื่อนผ่านไปยังระบบลำไส้ของวัว แล้วถ่ายออกมา ฉะนั้นเมื่อวัวกินเศษเหล็กอีก ก็จะถูกแม่เหล็กสำหรับวัว ดูดติดไว้

จะเห็นว่า ตะปู จะถูกดูดติดกับแม่เหล็กสำหรับวัว ทำให้ปลายแหลมของตะปู ไม่ไปทิ่มตำกระเพาะวัว

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Cow_magnet อ้างอิงในส่วนเนื้อหา
  • http://www.muslimthai.com/main/1428/content.php?category=110&id=4489 อ้างอิงในส่วนเรื่องกระเพาะวัว เว็บของไทยครับ
  • http://pbmo.wordpress.com/2010/08/09/cow-magnet/ อ้างอิงในส่วนรูปภาพ

หินธรรมชาิติ ชนิดเดียวที่ ลอยน้ำได้ (Pumice)

หินลอยน้ำ



โดยทั่วไป หินมีความถ่วงจำเพาะ ประมาณ 2.7 (ความถ่วงจำเพาะน้ำ=1 นั้นแสดงว่าที่ปริมาตรเท่ากันหินจะหนักว่าน้ำ 2.7 เท่า) เมื่อวัตถุใดมีความถ่วงจำเพาะมากกว่าหนึ่ง วัตถุนั้นจะจมน้ำเสมอ แต่ก็มีหินธรรมชาิติบางชนิดที่ลอยน้ำได้


รายละเอียด

  • หินที่ลอยน้ำได้มีชื่อว่า หินอัคนีพุ(Pumice พัมมิช)
  • หินอัคนีพุ เป็นหินที่เกิดจาก ลาวา และ น้ำ ผสมกัน ทำให้ลาวาเย็นตัวอย่างรวดเร็ว และเกิดการลดลงของแรงดันอย่างรวดเร็ว(Depressurization)
  • การลดลงของความดันอย่งรวดเร็ว ทำให้ความสามารถละลายตัวของก๊าซในลาวาลดลง ก่อให้เกิดเป็นฟองก๊าซเล็กขึ้นในลาวา(เหมือนตอนเราเปิดขวดน้ำอัดลม ความดันในขวดจะลดลงอย่างรวดเร็ว เร็วจะเห็นมีฟองก๊าซเล็กๆก่อตัวลอยขึ้นมา)
  • หินอัคนีพุ มีสีค่อนข้างซีดจาง มีรูพุรนเล็กไม่เชื่อมกระจายตัวกันเต็มเนื้อหิน มีเนื้อที่จัดว่าเป็นแก้วเนื่องจากการเย็นตัวอย่างรวดเร็วจนก่อนที่เนื้อหินจะตกผลึก
  • หินอัคนีพุ มีความหนาแน่นหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหนาของผนังของฟองก๊าซภายในหินอัคนีพุ แต่ส่วนมากหินอัคนีจะลอยน้ำ
  • มีข้อมูลที่น่าสนใจคือ การระเบิดของภูเขาไฟKrakatoa ก่อนให้เกิดแพหินอัคนีพุ ขนาดใหญ่ลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกนานกว่า 20 ปี หรือในปี 1979 , 1984 และปี 2006 มีการระเบิดของภูเขาไฟใต้น้ำใกล้ๆประเทศตองกา(Tongo) ก่อให้เกิดแพหินอัคนีพุขนาดใหญ่กว่า 30 กิโลเมตร ลอยเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรไปยังประเทศฟิจิ ก่อนที่จะจมลง

ภาพเกาะลอยน้ำ ที่เกิดจาก หินอัคนีพุ เมื่อปี 2006

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Pumice
  • http://www.sciencephoto.com/images/download_lo_res.html?id=694170290
  • http://www.eoearth.org/article/Pumice
  • http://www.diggles.com/ec/2002/EC02-06.html

ชื่อหมู่บ้าน สุดลามก อึ๋บกันวิลล่า ใน ออสเตรีย(Fucking Village)

อึ๋บกัน วิลล่า


Fucking village อึ๋บกันวิลล่า กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก เมื่อนักท่องเที่ยวมือบอนได้ขโมยชื่อบอกทางบนถนนหมู่บ้านของพวกเขาอย่างหนัก ทำมาติดเท่าไรก็ไม่พอ ขโมยเกลี้ยง


รายละเอีัยด

  • หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีบ้านเรือนเพียง 32 หลัง ประชากรเพียง 104 คน หมู่บ้านนี้มีชื่อสุดสยิวกิ้วว่า "Fucking" (แปลเป็นไทยแบบ Soft ว่า อึ๋บกัน)
  • หมู่บ้านอึ๋บกัน ตั้งอยู่ในเมือง Tarsdorf ในออสเตรีย ติดแนวชายแดนของ เยอรมัน
  • ชื่อหมู่บ้านถูกบันทึกเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ครั้งแรกว่า"Vucchingen"ในปี 1070 และมีการเพี้ยนเสียงเพี้ยนรูปเรื่อยมา จนกลายเป็น"Fukching"ในปี1532 กลายเป็น"Fugkhing"ในปี1532 และกลายเป็น"Fucking"ในศตวรรษที่18
  • มีความเชื่อว่าหมู่บ้านนี้ก่อตั้งแต่ศตวรรษที่6 โดยนาย ฟ็อกโก(Focko) ในภาษาเยอรมันเมื่อเติม "ing" ต่อท้ายข้อความจะแปลว่า ครอบครัของ(Family of) ฉะันั้นชื่อหมู่บ้านไม่ได้มีความหมายในเชิงลามกอนาจาร แต่มีความหมายว่า เป็นดินแดนของลูกหลานของฟ็อกโก
  • หลังจากป้ายถูกขโมยอย่างหนัก เช่นบางคืนป้าย4แผ่นถูกขโมยในคืนเดียว 15แผ่นในเวลาสองสามปี ทำให้ในปี2004 ชาวเมืองถึงกับมีการโหวตว่าจะเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านกันทีเดียว แต่ชาวเมืองก็ต้องการจะรักษาชื่อหมู่บ้านที่ใช้กันมาหลายร้อยปีไว้ แนวคิดเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านจึงตกไป
  • จนถึงปี 2005 ชาวเมืองจึงแก้เผ็ดเหล่ามือดีที่ชอบ ขโมยป้ายชื่อหมู่บ้าน โดยการเชื่อมป้ายติดกับเหล็กฝังในแท่นคอนกรีต
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Fucking,_Austria

สินค้า ที่ใช้การยิงบาร์โค๊ต ครั้งแรกในโลก คือ หมากฝรั่ง (first bar code scanning equipment)

ครั้งแรก


อะไรที่มันเป็นครั้งแรก มันก็น่าจดจำเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ สินค้าที่ได้นำบาร์โค๊ตมาติดเป็นครั้งแรกในโลก

รายละเอียด
  • ย้อนอดีตสู่วันที่ 26มิถุนายนปี 1974 มันเป็นอีกหนึ่งวันที่เปลี่ยนระบบการค้าของโลกไปตลอดกาลเมื่อ ซูเปอร์มาเก็ตนามว่า Marsh supermarket ในเมืองTroy รัฐโอไฮโอ ได้ทำการติดแผ่นป้ายบาร์โค๊ตบนหมากฝรั่งรสน้ำผลไม้ ยี่ห้อ Wigley's แบบ10แพ็ค
  • ขอโทษนะครับ หมากฝรั่งนี้นี้ตอนนี้ ได้ถูกนำไปจัดแสดงใน สมิธโซเนียน(Smithsonian Institution's National Museum of American History) กันเลยทีเดียว
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Wm._Wrigley_Jr._Company
  • http://bellsouthpwp.net/l/a/laurergj/upc/triviaqu.html

โดราเอมอน กับ ตัวเลข 129.3 (Doraemon)

โดราเอมอน หรือ โดเรมอน

พอดีวันนี้(22 เมษายน 2554)ได้ดูรายการ กบนอกกะลา ทำให้ทราบว่าโดราเอมอน นั้นมีความเกี่ยวข้องกับ ตัวเลข 129.3 มากมายหลายอย่าง ดังต่อไปนี้

โดราเอมอน กับ ตัวเลข 129.3

  • โดราเอมอน มี น้ำหนัก 129.3 กิโลกรัม
  • โดราเอมอน มี ความสูง 129.3 เซ็นติเมตร
  • โดราเอมอน สามารถ วิ่งได้เร็วถึง 129.3 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อตกใจ
  • โดราเอมอน สามารถ กระโดดได้สูง 129.3 เซ็นติเมตร เมื่อถูกคุกคาม
  • โดราเอมอน มีพลกำลังสูงสุด 129.3 แรงม้า
  • โดราเอมอน สัดส่วน รอบหัว รอบเอง รอบอก 129.3 เซ็นติเมตร
  • โดราเอมอน มีเส้นผ่านศูนย์กลางฝ่าเท้า 129.3 มิลลิเมตร
  • โดราเอมอน ถูกสร้างขึ้นในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงเมื่อ วันที่ 3 กันยายน 2112 (September 3, 2112 หรือเป็นตัวย่อ 12/9/3)
ข้อมูลอ้างอิง

  • ข้อมูลจากรายการ กบนอกกะลา วันที่ 22 เมษายน 2554 ทางช่อง 9 อสมท.
  • http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Doraemon_characters
  • http://siamdora.com/dora/ForumDetail.aspx?ForumID=338

ร้องไห้ไร้น้ำตา (Newborn babies cry but without tears)

Baby don't cry


เด็กแรกเิกิดจะร้องไห้ แต่ จะไม่มีน้ำตา ทำไมหรือก็เนื่องจากท่อน้ำตาของพวกเขายังพัฒนาไม่สมบูรณ์ จนกว่าเวลาจะผ่านไปซักประมาณ 1 เดือน พวกเขาถึงจะกลายเป็น ดาราเจ้าน้ำตาตัวจริง ประจำครอบครัว

ข้อมูลอ้างอิง


  • http://www.parenting.com/article/crying-without-tears

ร้ายสาระ มันจะบังเอิญ อะไรนักหนา

ร้ายสาระ บทที่ 3

ตึกเอ็มไพร์สเตต เป็นตึกที่มีคนมาเยือนมากที่สุดตึกหนึ่งในโลก(110 ล้านคน) และมันก็เป็นสถานที่ฆ่าตัวตายยอดนิยมเช่นกัน มีกว่า 30 ชีวิตต้องมาเป็นผีเฝ้าตึกนี้ แต่ บางครั้งมันก็มีเหตุบังเอิญที่ทำให้ ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จเหมือนกัน
เมื่อ วันที่ 2 ธันวาคม 1979 เมื่อ นาย Elvita Adams ได้มาใช้
ตึกเอ็มไพร์สเตต ณ ชั้น 86 เป็นสถานที่จบชีวิตของเขา
เขาทิ้งตัวลงจากยอดตึกดั่ง นกปีกหัก แต่ทันใดนั้นเอง บังเอิญมีลม
กระโชกพัดย้อนขึ้นมา พัดร่างร่างเขากลับขึ้นไปค้างอยู่บนระเบียงชั้น 85 เขาถูก รปภ. ดึงตัวกลับเข้าไปในตึก รอดตายอย่างบังเอิญๆ ไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Empire_State_Building
  • http://www.omg-facts.com/top/20
  • http://www.weird-websites.com/Just-Weird.htm

ทำรักด้วยปาก ก็ ท้อง ได้นะ (Oral sex)

แม่เจ้า


ลบทุกความเชื่อ ทำลายทุกทฤษฎี เมื่อพบว่าทำรักด้วยปาก ก็ท้อง

รายละเอียด

  • ในปี 1988 หญิงสาวท้องแก่วัย 15 ชาวเลโซโธ(Lesotho) ถูกนำตัวส่งมาโรงพยาบาล เพื่อทำคลอด
  • เธอถูกนำตัวส่งเข้าห้องทำคลอด แต่ หมอต้องงุนงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อพบว่าเธอไม่มีช่องคลอด มีเพียงผิวหนังที่บุ๋มเป็นร่องตื้นๆแต่ไม่มีช่องคลอด เมื่อไม่มีช่องคลอดฉะนั้นจึงต้องผ่าท้องเอาเด็กออกมาทางหน้าท้องแทน wowboom
  • เด็กที่เกิดมาเป็น ทารกเพศชาย สุขภาพแข็งแรง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ หมอซิน่าเป็นห่วง หมอปวดหัวตึ๋บคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเธอท้องได้อย่างไร
  • การที่เธอไม่มีช่องคลอดเกิดจาก อาการของโรคที่พบได้ยากที่มีชื่อว่า Mullerian agenesis อาการของโรคคือเธอจะไม่มีช่องคลอด
  • จากการตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ของเธอ พบว่าเมื่อ 278 วันที่แล้วเธอถูกนำส่งโรงพยาบาล จากการถูกแทงด้วยมีดที่ท้อง 2 แผล แพทย์ที่ทำการรักษาเขียนรายงานไว้ว่า เธอถูกแทงขณะท้องว่าง ทำให้ไม่พบเศษอาหารในช่องท้อง และมีน้ำย่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในช่องท้อง แพทย์ทำการล้างช่องท้องด้วยน้ำเกลือ และเย็บปิดปากแผลที่ท้อง
  • ระยะเวลา 278 นั้นใกล้เคียงกับระยะเวลาตั้งท้องโดยเฉลี่ย 280 วัน(9 เดือนหน่อยๆ)แพทย์จึงทำการซักถามเหตุกาณ์ในวันที่เธอถูกแทงเพิ่มเติม พบข้อมูลว่า
  • วันที่เธอถูกแทง เธอ กำลังทำรักด้วยปาก ให้กับแฟน(ใหม่) แต่ความซวยมาเยือนเธอเมื่อ แฟน(เก่า)ดันมาพบภาพบาดตาด้วยโทสะ ด้วยรักมากก็ต้องจัดหนักมากด้วยเช่นกัน แฟน(เก่า)จึงได้ฝากรักด้วยมีดใส่พุงเธอไป 2 ฉึก
  • ความเป็นไปได้ของการตั้งครรภ์ในครั้งนี้ คงเกิดจากตัวอสุจิที่เกิดจากการทำรักด้วยปาก กับ แฟน(ใหม่) บังเอิญติดกับปลายมีด เข้าสู่ร่างกายของเธอผ่านบาดแผล เดินทางผ่านระบบทางเดินอาหาร(Gastrointestinal tract) เข้ัาสู่อวัยวะสืบพันธุ์ของเธอ(Reproductive organs)
  • เคสนี้ถูกเขียนเป็นรายงาน โดย ด็อกเตอร์ Richard Paulson หัวหน้าแผนกการมีบุตรยาก ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียใต้ ในลอสแองลิส (the University of Southern California Fertility Program in Los Angeles) ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2010
อ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/M%C3%BCllerian_agenesis
  • http://abcnews.go.com/Health/Wellness/teen-girl-vagina-pregnant-sperm-survival-oral-sex/story?id=9732562

ศิลปิน แร็ป ที่ อัลบั้ม ขายดีที่สุดในโลก ( Tupac Shakur)

แร็ปเปอร์


อีกหนึ่งตำนาน แร็ปเปอร์ ที่การตายของเขายังคงเป็นปริศนา บ้างว่าเขาแสร้งตาย แต่ที่แน่ๆเขาคือ ศิลปินเพลงแร็ป ที่ขายดีที่สุดในโลก

รายละเอียด

  • เราเป็นที่รู้จักกันในชื่อ 2Pac เขามีชื่อจริงว่า ทูแพ็ก อมารู ชาเคอร์(Tupac Amaru Shakur)
  • เป็น แร็ปเปอร์ ชาวอเมริกัน เกิดเมื่อ 16 มิถุนายน 1971 ตายเมื่อ 13 กันยายน 1996 จากการถูกยิง 4 นัดที่ลาสเวกัส หลังจากการชมศึกการดวลกำปั้นของ ไมค์ไทสัน กับ Bruce Seldon
  • อัลบั้มของ เขา นั้นสามารถทำยอดขายได้มากถึง 75 ล้านอัลบั้มทั่วโลก ทำให้ 2Pac ได้รับการบันทึกโดยกินเนสบุ๊ค ว่าเป็นศิลปินเพลงแร็ปที่มียอดขายมากที่สุดในโลก
  • ลำพังเพียงใน อเมริกา อัลบั้มของเขามียอดขายถึง 37.5 ล้านอัลบั้ม
  • นิตยสาร Rolling Stone Magazine จัดอันดับให้ 2Pac ศิลปินที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกตลอดกาลอันดับที่ 86
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Tupac_Shakur
  • http://www.pollsb.com/polls/guinness_book

ยูกิโอ เกมส์การ์ด ที่ ขายดีที่สุดในโลก (Yu-Gi-Oh best seller)

เกมส์การ์ด


หาก จะกล่าวถึง เกมส์การ์ด magic the gathering คือ 1 ในเกมส์การ์ดยอดนิยมในตำนาน รุ่นบุกเบิก แต่ สำหรับเกมส์การ์ดคลื่นรุ่นใหม่ ที่มาแรงที่สุด นั้นคงไม่มีใครแรงกว่า ยูกิโอ เกมส์กลคนอัจฉริยะ (Yu-Gi-Oh) เมื่อได้ถูกบันทึกสถิติเป็น เกมส์การ์ดที่ขายดีที่สุดในโลก

รายละเอียด

  • ด้วย สถิืติ การ์ดเกมส์ที่ได้รับการจัดจำหน่ายโดย โคนามิ ดิจิตอล เอ็นเตอร์เทนเม้นท์(Konami Digital Entertainment) ถึง 22,587,728,173 (สองหมือนสองพันล้าน) ใบ เมื่อเดือนเมษายน 2009 ทำให้ ยูกิโอ เป็นเกมส์การ์ดที่ขายดีที่สุดในโลก (ไม่รวมของปลอม)
  • เกมส์การ์ด ยูกิโอ ขายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อปี 1999 และในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2002
  • นี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่กินนสบุ๊ค ได้บันทึกสถิติเกี่ยวกับ เกมส์การ์ด ก่อนนี้มีการ บันทึักสถิติ เล่นเกมส์การ์ด มาราทอน ยาวนานที่สุดในโลก คือ การเล่นเกมส์ ลอร์ดออฟเดอะริงค์ TCG ทำสถิติเล่นกันยาวนานถึง 128 ชั่วโมง ในเดือนมีนาคม 2002

ส่วน การ์ดในตำนาน ที่ได้รับการบันทึกว่า แพงที่สุดในโลก คือการ์ด Japanese Blue Eyes Ultimate Dragon with Armor มีราคาถึง 5 แสนเหรียญสหรัฐ (อ้างอิง http://most-expensive.net/yugioh-cards)

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.icv2.com/articles/news/15570.html

นก ที่มี จงอยปาก ใหญ่ที่สุดในโลก (Shoebill)

นกแปลกๆ

Shoebill นกชนิดนี้ได้ชื่อนี้มาจากการที่พวกมันมี จงอยปาก(bill) เหมือนรองเท้า(Shoe) ด้วยจงอยปากขนาดมหึมานี้ ทำให้พวกมันดูพิลึกพิลั่น เหมือนหลุดมาจากยุคไดโนเสาร์ก็ไม่ปาน

รายละเอียด


  • พวกมันมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Balaeniceps rex
  • บ้างก็รู้จักกันในชื่อ นกจงอยปากรองเท้า(Shoebill) หรือ นกหัววาฬ(Whalehead)
  • พวกมันเป็นนกในกลุ่มนก กระสา(Stork) ขนาดใหญ่ โตเต็มวัยมีความสูง 1.15-1.50 เมตร วงปีกกว้าง 2.3-2.6 เมตร หนัก 4-7 กิโลกรัม
  • เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนสีเทา มีถิ่นอาศัยอยู่ทางตะวันออกของแอฟริกา ในพื้นที่เป็นหนอง บึง ของ ซูดาน ถึง แซมบี
  • พวกมันหากินในบึงน้ำ กิน ปลา กบ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก รวมถึงลูกจรเข้ และนก
  • พวกมันทำรังบนพื้นดิน วางไข่ครั้งละ 2 ฟอง
  • มีการประเมินว่า มีนกจงอยปากรองเท้า เหลืออยู่เพียง 5-8 พันตัว โดยประชากรส่วนใหญ่อยู่ในซูดาน
เห็นภาพนี้แล้วสยองเลย กิน เป็ด ซะด้วย
ดูไปดูมามันเหมือน นก ที่พึ่งวิวัฒนาการมาจาก ไดโนเสาร์เลย

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Shoebill

ร้ายสาระ เรื่อง เทพ Slamdunk

ร้ายสาระ บทที่ 2 เทพจุติ


Admin DEN ไม่รู้ว่า ดังก์ ท่านี้จะได้กี่คะแนน เมื่อบังเกิดเหตุการณ์เทพจุติลงมาระหว่างการโชว์ สแลมดังก์ ในเกมส์ของ Phoenix Suns เมื่อ นาย Nick Corrales ได้โชว์ ดังก์ ลูกบาสเกตบอลลงห่วงไปเรียบร้อยตามมาติดด้วยการยัดตัวเองลงห่วงตามลูกบอล ลงไปด้วย
นับว่าโชคดีที่อุบัติเหตุครั้งนี้จบลงแค่ นายนิค มีรอยฟกช้ำที่จมูก และหัวโน


คลิป วีดีโอ


เหตุการณ์เกิดเริ่มเกิดตอนช่วงเวลา 1:45

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.omg-facts.com/view/Facts/25209

สะอึก มาราธอน 68 ปี นานที่สุดในโลก (Hiccups)

สะอึก อึกๆ

พูดได้คำเดียวว่า คงเป็นโรคเวรโรคกรรม เชื่อหรือไม่ว่ามี ชายคนหนึ่ง สะอึกมาราธอน นานถึง 68 ปี

รายละเอียด

  • ชายผู้ที่ป่วยเป็น โรคสะอึกมาราธอน มีนามว่า Charles Osborne ชาวไอโอว่า สหรัฐอเมริกา เกิดเมื่อ 2 เมษายน 1894 ตาย 1 พฤษภาคม 1991
  • เขาเริ่มสะอึกตั้งแต่ปี 1922 ต่อเนื่องจนถึงปี 1990 รวมกว่า 68 ปี
  • เขาได้รับการบันทึก สถิติโดยกินเนสบุ๊ค ว่า เป็น มนุษย์ที่สะอึกต่อเนื่องนานที่สุดในโลก
  • ด้วยอาการของโรคที่แปลก ประหลาด หาสาเหตุ และรักษาไม่หายนี้ ทำให้เขาได้รับเชิญไปออกรายการ ริปลี่ย์เชื่อหรือไม่ ในปี1936 ออกช่องABC ในปี 1980 และออกรายการทูไนค์โชว์กับ Johnny Carson ในปี1983
  • ในช่วงแรกของโรคเขาสะอึกประมาณ 40ครั้ง/นาที
  • ในช่วงปีท้ายๆของโรคเขาสะอึกน้อยลงเหลือประมาณ 20ครั้ง/นาที
  • มีการประเมินว่า ตลอด 68 ปี เขาสะอึกไปถึง 430 ล้านครั้ง หลังจากเขาหายจากการสะอึกเขามีชีวิตได้อีกประมาณ 11 เดือน และเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากแผลติดเชื้อ
AdminDEN มีวิธีแก้สะอึกที่ได้ผล คือ ยืนโค้งตัวดูดน้ำด้วยหลอดจากแก้ว แต่เวลาทำต้องไปแอบๆทำเนื่องจากมันดูประหลาด วิธีนี้สุดยอดที่สุดได้ผลที่สุดสำหรับผม
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Charles_Osborne_(hiccups)

สถานที่ท่องเที่ยว สุดแปลก ลานกระเบื้อง แห่ง แทสเมเนีย ออสเตรเลีย (Tessellated pavement)

ลานกระเบื้องธรรมชาติ


Tessellated pavement ลานกระเบื้องแห่งเกาะแทสเมเนีย นี้หากมองผ่านอาจจจะคิดว่าคงเป็นลาน ที่ถูกปูด้วยบล็อกปูถนน แผ่นใหญ่ๆ หรือ ลานคอนกรีตที่มีการตีตารางไว้ แต่ สถานที่แห่งนี้สร้างสรรค์โดย ธรรมชาติ 100%

รายละเอียด


  • Tessellated pavement เป็น รูปแบบหนึ่งของการกัดกร่อนของหินตะกอน(sedimentary rock) ที่พบได้ยากยิ่ง สามารถพบได้เพียงบนชายฝั่งในมหาสมุทรบางแห่งเท่านั้น
  • รอยแตก ที่เห็นเป็นสันมีลักษณะเป็นแนวตรงนั้น ก่อตัวขึ้นเมื่อเกิดแรงเค้นในเปลือกโลก(stress on the Earth's crust) ซึ่งต่อมาก็ถูกแรงจากคลื่น และการเสียดสีของเม็ดทราย ไปมาอย่างต่อเนื่อง
  • การเกิด Tessellated pavement นั้นมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ รูปแบบกระทะ(Pan formation) กับ รูปแบบเป็นก้อนขนนปัง(loaf formation)
  • หนึ่งในตัวอย่างการเกิด Tessellated pavement ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือที่ Eaglehawk Neck บนเกาะแทสเมเนีย ในคาบสมุทรแทสแมน(Tasman Peninsula) ปล.ภาพจั่วหัวคือที่ ลานกระเบื้อง แห่ง แทสเมเนีย

รูปแบบกระทะ จะเกิดขึ้นในบริเวณริมชายฝั่ง บริเวณที่มีน้ำขึ้นน้ำลง เมื่อน้ำลงน้ำทะเลจะขังในร่องเมื่อแห้งจะเกิดเป็นผลึกเกลือสะสมในร่อง(บริเวณที่มีผลึกเกลือก่อตัวจะมีผลึกเกลือมาเกาะได้ง่ายยิ่งขึ้น) นานวันเข้าผลึกจะก่อตัวจนเป็นสันขอบ ทำให้บริเวณที่ไม่มีสันปิดอยู่เกิดการสึกกร่อนได้รวดเร็วกว่า บริเวณที่มีสันจนก่อเป็น แอ่งกระทะ


รูปแบบก้อนขนนปัง จะเกิดขึ้นในส่วนที่ติดทะเล เมื่อแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานน้ำจะพัดพาทราย เข้ารู้บริเวณรอยแยกขัดถูนานวันเข้า ทำให้เกิดเป็นร่องลึก

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://martybugs.net/blog/blog.cgi/photos/nature/TessellatedPavement.html
  • http://en.wikipedia.org/wiki/Tessellated_pavement
  • http://www.panoramio.com/photo/582203

หอกศักดิ์สิทธิ์ ลองกินุส (Holy Lance)

หอกศักดิ์สิทธิ์


หอกแห่งลองกินุส (Lance of Longinus, Spear of Longinus) คือ หอกที่ใช้แทงพระเยซูคริสต์ หลายคนอาจจะคิดว่าหอกเล่มนี้เป็นหอกที่ใช้สังหารพระเจ้า แต่วัตถุประสงค์ที่แท้จริง ของการแทงด้วยหอกคือ เพื่อตรวจสอบว่า พระเยซูได้สิ้นพระชนม์แล้วหรือยัง(แน่นอนถ้ายังไม่สิ้นพระชนม์จะต้องมีปฏิกริยาโต้ตอบของร่างกายแน่นอน)

รายละเอียด


  • หอกลองกินุส เป็นที่รู้จักกันอีกในหลากหลายฉายานาม ดังนี้ หอกแห่งโชคชะตา (Spear of Destiny) , หอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy Lance, Holy Spear) หอกแห่งพระคริสต์ (Spear of Christ)
  • หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมในภาษาอังกฤษ จึงมีการใช้คำว่า Lance สลับไปมากับคำว่า Spear โดยทั้งสองคำมีความหมายถึง หอก ในภาษาไทยทั้งคู่ แต่คำว่า Lance นั้นมาจากคำว่า longche(ภาษากรีก แปลว่า หอก) คำนี้มีการกล่าวถึงในพระวรสารนักบุญยอห์น(Gospel of John)
  • ลองกินุส นั้นเป็น คาดว่าเป็นชื่อของ ทหารที่ใช้ หอกเล่มนี้แทงพระเยซู ชื่อ ลองกินุสนี้ไม่มีการกล่าวถึงใน พระวรสารนักบุญยอห์น แต่มีชื่อทหารโรมันนายนี้ปรากฏในพระวรสารฉบับของ นักบุญNicodemus หรือบันทึก(manuscripts)ในศตวรรษที่4ของPilate ในชื่อ ลองกินุส(Logginus หรือ Longinus)
  • มีหอกมากมายหลายเล่มที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็น หอกศักดิ์สิทธิ์ลองกินุส แต่มีเพียง 3 เล่มเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดว่าคือ หอกลองกินุส เล่มจริง คือ เล่มแรกคือหอกวาติกันลองกินุส(Vatican lance) , เล่มที่สองคือEchmiadzin lance เล่มสุดท้ายคือหอกเวียนนาลองกินุส(Vienna Lance) แต่ละเล่มล้วนมีตำนานอันยาวนาน
รายละเอียดเกี่ยวกับ หอกเวีนยนาลองกินุส

หนึ่งในหอกลองกินุสที่งดงามที่สุด มีประวัติ และตกทอดสู่เหล่าบุคคลที่ยิ่งใหญ่มากมายหลายยุคหลายสมัย นั้นไม่มีเล่นไหนเกิน หอกเวีนยนาลองกินุส

ปฐมบทแห่งตำนาน เริ่มเมื่อ ค.ศ.33 เมื่อพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน และถูกนายทหารโรมัน แทงด้วยหอกเพื่อตรวจสอบว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้วหรือยัง?


ย่างเข้าสู่ ค.ศ.287 นายทหารโรมันชาวอียิปเชี่ยน นามว่ามอริเชียส(Mauritius) ได้ค้นพบหอกลองกินุสติดในอียิปต์ มอริเชียสเป็นผู้นำกองทัพชาวอียิปต์ 6,666(บางที่ใช้ตัวเลข 6600 คน) ทุกคนล้วนนับที่คริสตศาสนา ต่อมา เขาได้กลายเป็น เซนต์มอริเชียส เนื่องจากขัดพระบัญชากษัตริย์ Maximian ในการเข่นฆ่าชาวคริสต์ และเป็นที่เคารพนับถือของชาวคริสต์ ทำให้ มอริเชียส ถูกประหารชีวิต


ในช่วง ค.ศ.312 พระเจ้าคอนสแตนตินมหาราช กษัติรย์โรมันผู้นับถือคริสตศาสนา ที่เชื่อว่าพระองค์ได้รับการช่วยเหลือจาก หอกลองกินุส ในการประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาิติโรมัน พระองค์จึงทำการแทรก ตะปูศักดิ์สิทธิ์(ตะปูที่ใช้ตรึงกางเขนพระเยซู) ลงไปบนใบดอกลองกินุส


ในช่วง ค.ศ.800 พระเจ้าชาร์ลมาญมหาราช(Emperor Charlemagne) กษัตริย์นักรบอันเกรียงไกร ผู้มีตำนานไร้พ่ายจนสามารถรวบรวมดินแดนแดนที่ปัจจุบันเป็น เยอรมัน ฝรั่งเศลไว้ได้เกือบทั้งหมด และเป็นผู้ก่อตั้ง อาณาจักรโรมันศักดิ์สิทธิ์ ตำนานกล่าวไว้ว่าพระองค์เชื่อว่า หอกศักดิ์สิทธิ์ได้ประทานพลังอำนาจให้แด่พระองค์ พระองค์ทรงเก็บรักษาหอกไว้กับตัวเสมอ และพระองค์ก็สิ้นพระชนม์เนื่องจากทำหอกตกจากมือจึงเสียชีวิตในการรบ พระองค์เป็นผู้เสริมปีกหอก ให้ แด่หอกศักดิ์สิทธิ์


ในปีช่วง ค.ศ.1046 พระเจ้าเฮนรี่ที่3มหาราช ผู้สืบเชื้อสายมาจาก ชาร์ลมาญ พระเจ้าเฮนรี่ได้ทำการหุ้มหอกด้วยแผ่นเงิน เนื่องจาก หอกลองกินุสเกิดหัก(คาดว่าเป็นผลจากความพยายามจะ ฝัง ตะปูศักดิ์สิทธิ์ดอกที่ 2 ลงไปในหอก)


ในช่วง ค.ศ.ที่ 1350 ในยุคสมัยของพระเจ้าชาร์ลที่4 พระองค์ได้สร้างปราสาท Karlstejn ในกรุง ปราก(Prague) เพื่อเป็นที่เก็บรักษา หอกลองกินุส และทรงหุ้มหอกลองกินุสใหม่ด้วยทองคำ


ในช่วง ค.ศ.1400 ผู้สืบเชื้อสายจากพระเจ้าเฮนรี่ที่4 ได้ขายหอกศักดิ์สิทธิ์ ให้แก่สภาเมืองนูเรมเบิร์ก(Nuremberg town council) หอกศักดิ์สิทธิ์ถูกเก็บรักษาไว้ในหีบเงิน และถูกลืมเลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์เกือบ 400 ปี


ต่อมาในช่วงปี ค.ศ.1796 นโปเลียน โบนาปาร์ต(Napoléon Bonaparte) ผู้เกือบจะได้เป็นเจ้าโลก ก็หวังในพลังอำนาจของ หอกลองกินุส ได้ปิดล้อมเมืองนูเรมเบิร์ก ทำการข่มขู่เหล่าสมาชิกสภาเมืองให้เปิดเผยที่ซ่อนและส่งมอบหอกให้แก่ตนเอง หอกลองกินุสจึงถูกนำไปซ่อนยังกรุงเวียนนา ให้พ้นจากเงื้อมือของนโปเลียน


ในช่วงปี ค.ศ.1938 เมื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์(Adolph Hitler) ยึดประเทศออสเตรียได้ ฮิตเลอร์ได้ยึดเอา หอกลองกินุส และนำกลับไปยังเมืองนูเรมเบิร์ก ซึ่งเคยเป็นที่พำนักของ หอกลองกินุสเกือบ 400 ปี อีกครั้ง
มีการกล่าวอ้างถึงขั้นว่า ฮิตเลอร์เก็บหอกลองกินุสไว้ใต้ที่นอนเพื่อเวลานอนจะได้ ดูดซับพลังอำนาจเข้าสู่ตนเอง


ในช่วงปี ค.ศ. 1945 เมือเยอรมันแพ้สงคราม นายพล George S. Patton ค้นพบ หอกลองกินุสในบังเกอร์ใต้ดิน ใต้ปราสาทนูเรมเบิร์ก เขาจึงนำหอกลองกินุสกลับไปยัง ออสเตรีย และเก็บรักษาไว้พิพิธภัณฑ์ Schatzkammer จวบจนปัจจุบัน

รูปภาพจาก http://channel.nationalgeographic.com/series/when-rome-ruled/all/Overview33#tab-the-holy-spear

คลังภาพ หอกลองกินุส


เล่มนี้ คือ Echmiadzin lance


เล่มนี้คือ หอกเวียนนาลองกินุส
ข้อมูลอ้างอิง

  • http://en.wikipedia.org/wiki/Holy_Lance
  • http://channel.nationalgeographic.com/series/when-rome-ruled/all/Overview33#tab-the-holy-spear
  • http://www.paranormality.com/holy_spear.shtml

ตะปู ศักดิ์สิทธิ์ ที่ใช้ ตรึงพระเยซู บน กางเขน (Holy Nail )

ตะปู ศักดิ์สิทธิ์


มี สิ่งที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็น วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่มีเกี่ยวข้องกับ พระเยซู มากมาย แต่เมื่อวัตถุเหล่านั้นได้รับการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์จากผู้เชี่ยวชาญ จากวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ก็พลันกลายเป็นแค่ของปลอม

รายละเอียด

  • ตะปู อายุ 2000 กว่าปี 2 ตัวนี้ได้รับการกล่าวอ้างว่าเป็น ตะปูที่ถูกใช้ในการตรึงกางเขน พระเยซู
  • ตะปู สองตัวนี้ค้นพบในสุสาน ที่ข้างภูเขา ห่างจากทางใต้ของเมือง 2-3 กิโลเมตร ในกรุงเยรูซาเล็ม(Jerusalem) ภายในสุสานมีโกศเก็บกระดูกหลายอัน ตะปูตัวหนึ่งพบบนพื้น ส่วนอีกตัวพบเก็บอยู่ในโกศ
  • ตะปู สองตัวนี้มีความยาวประมาณ 2 นิ้ว(5 เซ็นติเมตร)
  • เนื่องจากว่า ตะปูสองตัวนี้ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 1990 และคาดว่าเป็นสุสานของ Caiaphas(นักบวชชั้นสูง ชาวยิว ที่ส่งพระเยซูไปถูกตรึงกางเขน) แต่หลังจากการขุดค้นสุสานนี้พบ สุสานก็ถูกปิดผลึกลง สิ่งของที่ถูกขุดค้นก็เหมือนดั่งหายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน
  • จนกระทั้งนาย Simcha Jacobovici ได้ทำสารคดีเรื่อง The Nails Of The Cross ที่ออกมาเปิดเผยว่า ตะปู 2 ตัว นี้คือตะปูศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกใช้ในการตรึงร่างพระเยซู บนกางเขน
  • เมื่อ 3 ปี ที่แล้วผลงานสารคดีเรื่อง สุสานพระเยซูที่สาบสูญ ของ Simcha Jacobovici ถูกวิพากษ์ อย่างกว้างขวาง
ปล. ผมอ่านจนจบต้นฉบับที่แปล ไม่พบอะไรที่เป็นหลักฐานที่หนักแน่นจาก Simcha Jacobovici หรือผลทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจาก คำกล่าวที่ว่า ตะปู + Caiaphas เป็นสิ่งมีความเกี่ยวข้องกับการที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน ฉะันั้น Simcha Jacobovici จึงเชื่อว่านี้ต้องเป็น ตะปูที่ใช้ตรึงกางเขนพระเยซู ซะงั้น
โปรดใช้วิจารณญาณ ในการเสพ
By Admin DEN

เกร็ด เกี่ยวกับการ ตรึงกางเขน


ที่เชื่อกันว่า พระเยซู ถูกตะปูตอกที่ฝ่ามือ ตอนถูกตรึงกางเขน นักวิทยาศาสตร์คาดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจาก ด้วยน้ำหนักตัว ฝ่ามือไม่สามารถจะทานน้ำหนักได้จะทำให้ฝ่ามือฉีกขาด และร่างจะหลุดล่วงจากกางเขน นักวิทยาศาสตร์คาดว่า น่าจะมีการตอกตะปูบริเวณ ต่ำกว่ากระดูกข้อมือลงมา(ดังภาพ)


ในปี 1968 มีการขุดพบโกศเก็บกระดูก ในศตวรรษที่1 บนโกศมีระบุชื่อว่า Jehohanan ภายในพบกระดูกข้อเท้าที่มีตะปูติดอยู่ ซึ่งคาดว่าเกิดจากการถูกทำโทษโดยการตึงกางเขน ลักษณะตะปูนั้นไม่ตรงกับความเชื่อเดิมๆ เนื่องจากตะปูถูกตอกเข้าจากด้านข้างเท้า ไม่ใช่ด้านหลังเท้า
ทั้งกระดูกมือ และแขนก็ำไม่มีร่องรอยการถูกตอกตะปู ทำให้คาดว่าในอดีต การตึงกางเขนจะมีลักษณะดังภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.dailymail.co.uk/news/article-1376107/Investigator-claims-2-000-year-old-nails-used-crucify-Jesus.html
  • http://biblestudyconnection.blogspot.com/2010/02/crucifixion-and-science.html
  • http://www.champs-of-truth.com/lessons/tract_13g.htm

แขนเทียม สำหรับ นักปีนเขา

มือขวานคู่


หนุ่มใหญ่วัย 54 คนนี้ไม่ใช่พระเอกคนใหม่จากภาพยนตร์ เอ็ดเวิร์ด มือกรรไกร(Edward ScissorHands) หรือ ภาพยนตร์ศุกร์ที่13 หรือ โรบอท แต่เขาคือ ชายผู้หลงใหลการปีนเขามากกว่าชีวิต


รายละเอียด


  • ภาพที่เห็นนี้คือนาย Stephen Ball วัย 54 จาก Newbiggin, Cumbria
  • สิ่งที่เห็นอยู่ที่มือทั้ง 2 ข้างของ บอลล์ คือ ค้อนปีนภูเขา ที่ผูกติดกับมือทั้ง 2 ข้างของเขา เนื่องจากเขาไม่สามารถถือ ค้อน ได้ ต้องใช้การผูกติด
  • การที่เขาไม่สามารถถือค้อน ก็เนื่องจากเขาไม่มีนิ้ว และเหตุที่เขาไม่มีนิ้วก็เกิดจากการปีนเขา จาก เกิดอุบัติเหตุตกเขาและติดอยู่ในพายุหิมะบนภูเขา McKinley
  • หลังจากที่ บอลล์ ได้รับความช่วยเหลือ เขามีอาการ น้ำแข็งกัดอย่างรุนแรง เขาสูญเสียมือซ้าย สูญเสียนิ้วซ็าย ปลายจมูก และต้องตัดขาซ้ายเนื่องจากกระดูกแตกเป็นเสี่ยงถึง 12 ท่อน
  • ตั้งแต่อุบัติเหตุในปี 1999 เขาก็ไม่สามารถปีนเขาได้อีกจนกระทั้ง มาพบกับนักสร้างแขนขาเทียม นามว่า Phil Myers เขาได้สร้าง แขนเทียมที่มีค้อนปีนเขาติดอยู่ให้ แก่ บอลล์ และปัจจุบัน บอลล์ก็สามารถกลับมาปีนเขาได้อีกครั้ง

จะเห็นว่ามือขวาของเขานั้นไม่มี นิ้วมือหลงเหลือเลย

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1376020/Revolutionary-prosthetic-limbs-help-injured-mountaineer-climb-again.html

สถานที่ท่องเที่ยว ถ้ำน้ำแข็ง แห่ง ออสเตรีย (Eisriesenwelt ice caves)

ถ้ำน้ำแข็งย้อย


Eisriesenwelt ice caves เที่ยวชมถ้ำสิ่งที่จะคิดถึงในอันดับแรกๆ คงเป็น หินงอก หินย้อย ที่งดงาม แต่ ถ้ำแห่งนี้กับมี น้ำแข็งงอก น้ำแข็งย้อย ที่งดงามทดแทน ซะงั้น

รายละเอียด

  • ถ้ำน้ำแข็ง แห่งนี้มีชื่อว่า Eisriesenwelt ice caves ตั้งอยู่ในภูเขาHochkogel ณ เมืองWerfen ประเทศออสเตรีย(Austria)ห่างจากทางใต้ของ Salzburg ประมาณ 40 กิโลเมตร
  • Eisriesenwelt เป็นภาษาเยอรมัน มีความหมายว่า โลกของน้ำแข็งยักษ์"World of the Ice Giants"
  • Eisriesenwelt เป็น ถ้ำหินปูนน้ำแข็ง (limestone ice cave)
  • ถ้ำน้ำแข็ง แห่งนี้เป็น ถ้ำน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยถ้ำมีความยาวรวมกว่า 42 กิโลเมตร
  • ถ้ำแข็งนี้ในช่วงต้นมีกำเนิดเหมือนถ้ำทั่วไป คือ เกิดรอยร้าวเล็กในหินปูนเมื่อกว่า 100 ล้านปี เมื่อช่วงเวลาที่ ภูเขาเกิดการยกตัว จากรอยร้าวเล็กเมื่อถูกขบวนการกัดกร่อนจากน้ำ ปฏิกริยาทางเคมี ทำให้รอยร้าวขยายเป็นถ้ำขนาดใหญ่
  • สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำแข็งภายในถ้ำ เนื่องจาก ภายในถ้ำอากาศสามารถเคลื่อนย้ายหมุนเวียนได้ จาก ปลายถ้ำด้านล่างมีทางเข้าของอากาศ และปลายถ้ำอีกด้านที่อยู่ในระดับสูงระบายอากาศออก (คล้ายผลจากขบวนการที่เกิด กับ ปล่องไฟ ที่อากาศเย็นไหลเข้าด้านล่าง อากาศร้อนไหลออกที่ปลายปล่องไฟด้านบน) wowboom
  • ในฤดูหนาวเมื่ออากาศด้านนอกเย็นกว่าในถ้ำ อากาศเย็นจะไหลเข้าสู่ในถ้ำทำให้อุณหภูมิในถ้ำลดต่ำลงกว่าจะเยือกแข็ง เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนหิมะภายนอกถ้ำจะละลายไหลลงมาตามรอยแยกต่างภายในถ้ำเมื่อพบกับอุณหภูมิที่เย็นภายในถ้ำหยดน้ำเหล่านั้นจะค่อยๆก่อตัวเป็น น้ำแข็งงอก น้ำแข็งย้อยภายในถ้ำอย่างงดงาม
  • มันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม โดย ทุกปีมีนักท่ีองเที่ยวมาเยือนประมาณ 2 แสนคน
  • ในช่วงท้ายของ ศตวรรษที่ 19 มีเพียงเหล่าพรานป่า เท่านั้นที่รู้จักถ้ำแห่งนี้
  • จนกระทั้งในปี 1879 นักธรรมชาิติวิทยา นามว่า Anton Posselt นับว่าเป็นค้นพบถ้ำแห่งนี้อย่างเป็นทางการเมื่อเขาได้ นำผลงานการค้นพบและสำรวจของเขาตีพิมพ์ใน Mountaineering
ข้อมูลนักท่องเที่ยว

  • ถ้ำแห่งนี้เปิดให้เที่ยวชม เฉพาะ วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 26 ตุลาคม ของทุกปีเท่านั้น
  • อุปกรณ์กันหนาว เต็มกำลังแม้ในฤดูร้อน เพราะอุณภูมิภภายในถ้ำจะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
  • คุณจะต้องแกร่งพอควรเนื่องจากต้องเิดินไตร่ระดับความสูงถึงไปกว่า 134 เมตร กว่าจะถึงปากทางเข้าถ้ำเพื่อแลกกับ การรับชมความงดงามทางธรรมชาิตินี้

เส้นทางคดเคี้ยวนี้จะนำ ท่าน สู่ ถ้ำน้ำแข็ง Eisriesenwelt
คลังภาพ



ถ้ำหินปูน ที่มีน้ำแข็งงอก น้ำแข็งย้อย ทดแทน หินงอก หินย้อย


น้ำที่ละลายในฤดูร้อน และฤดูใบไม้ผลิ เมื่อไหลลงมาสัมผัสอุณภูมิต่ำภายในถ้ำจะเกิดการแข็งตัว เป็นน้ำแข็ง


พื้นน้ำแข็งที่เกิดจาก บริเวณที่มีน้ำท่วมขัง


ความงดงาม จาก ถ้ำน้ำแข็ง Eisriesenwelt ice caves ประเทศ ออสเตรีย

ข้อมูลอ้างอิง

  • http://www.eisriesenwelt.at/site/content/CB_ContentShow.php?coType=home&lang=EN
  • http://en.wikipedia.org/wiki/Eisriesenwelt
  • http://www.wayfaring.info/2009/09/15/eisriesenwelt-caves/
  • http://www.dolomitenhof.at/en/activities/excursions-sights.html
  • http://visitdestinations.com/eisriesenwelt.html